วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดอยด้วน…


ดอยด้วน
  หนานปั๋น

             
                                                                                                     
ฝ้ายคำ ออกดอกเหลืองสะพรั่งทั่วทั้งลำต้น สลัดใบรูปหัวใจสีเขียว ให้หายไปจากกิ่งก้านของมัน แต่ยังคงมองเห็นผลแก่ๆสีขาวปนน้ำตาลอยู่เป็นกระจุกๆ  เปลวแดดหน้าแล้งหลังออกพรรษายังคงร้อนระอุ หากงามตานักยามเมื่อฝ้ายคำที่ยืนต้นสูงชะลูดกระทบกายกับ แสงสีทองที่สาดส่องจากเบื้องบนลงมาสู่พื้นดิน ฝ้ายคำ เป็นชื่อต้นไม้ผลัดใบขนาด เล็กชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลืองเกือบทั่วทั้งปี มีผลกลม เมื่อแก่จัดจะ แตกเป็นปุยสีขาวเหมือนฝ้าย ชาวบ้านจึงเรียกว่า ดอกฝ้ายคำ
                ปีนี้….ฝ้ายคำต้นเล็กที่หน้าบ้านผม ดูสูงชะลูดโตขึ้นกว่าเดิม ดอกเก็ดถะหวา ดอกด้าย และดอกฝ้ายคำ เป็นเพียงไม่กี่รายชื่อของพันธุ์ไม้ดอกพื้นเมือง ที่ชาวล้านนานิยมนำมาปลูกในบ้านเพื่อนำดอกไป บูชาพระในวันศีลวันธัมม์
                เสียดาย..วันออกพรรษาที่ผ่านมาผมมิได้เด็ดดอกฝ้ายคำ สีเหลืองสดไปบูชาพระ คิดกลับกันมันคงจะเป็นการดีกว่าหากปล่อย ให้มันออกดอกอวดโฉมประดับโลกอยู่เช่นนี้   จนกว่าดอกของมันจะโรยราคาต้นไปเองตามธรรมชาติ เพราะการบูชาที่แท้จริงตามหลักธรรมพุทธศาสนานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอามิสบูชา หรือการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของเสมอไป หากแต่เป็นปฏิบัติบูชาคือการบูชาด้วยการปฏิบัติธรรม ถ้าธรรมะคือธรรมชาติดั่งที่หลายคนพูดกัน การปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมชาติจึงน่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด
ธรรมชาติสร้างความสมดุลให้แก่ทุกชีวิตในโลกใบนี้อย่างลงตัวและเท่าเทียมกันอยู่แล้ว มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหาก เทียบกับโลกและจักรวาลอันยิ่งให­ญ่ แต่มนุษย์กลับแสดงแสนยานุภาพประกาศอำนาจเหนือธรรมชาติอยู่ทุกขณะ
                ผมนั่งดูดอกฝ้ายคำอยู่นาน จิตนาการมองออกไปยังเทือก เขาสูงลิบลิ่วที่เห็นทะมึนอยู่ด้านหน้า เมื่อใช้สายตากระโดดเลยข้ามทุ่งนาหลังบ้านออกไป สีเหลืองของดอกฝ้ายคำมันช่างตัดกับสีที่ดูดำทึบของประติมากรรมธรรมชาติ   อันแลเห็นอยู่ไกลลิบ จนรู้สึกขัดตาในความแตกต่าง หากแต่ความงามยังบังเกิดขึ้นเสมอ...
                ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกก็เห็นดอยลูกนี้นอนเหยียดยาวโดย ที่ไม่ลุกไปไหนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว และคงจะนานกว่าหลาย ๆ ชั่ว อายุคนบนโลกใบนี้เสียอีก...

ดอยด้วน  ดอยหัวง้ม ดอยชมพู ภูยาว หรือ ผายาว ล้วนแต่เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานประติมากรรมของธรรมชาติชิ้นนี้ดอยด้วนเป็นภูเขาหินทรายที่ทอดตัวนอนยาวตามแนวเหนือใต้     ครอบคลุมอาณาบริเวณสองจังหวัดคือเชียงรายและพะเยา      ทางด้านทิศเหนือติดกับเขตอำเภอแม่ลาวและอำเภอพานจังหวัดเชียงราย ทิศใต้ติดกับอำเภอแม่ใจจังหวัดพะเยา จากลักษณะทางกายภาพของดอยแห่งนี้เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ภูกามยาว และ พะเยา ในปัจจุบัน          
ขี้ไถปู่หละหึ่ง มักจะเป็นคำตอบในวัยเด็กเกี่ยวกับการถือกำเนิดขึ้นของภูเขาดงดอยต่างๆรวมไปถึงดอยด้วน  นึกถึงเรื่องราวที่ อุ้ยเคยเล่าทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากถามว่าดอยที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้เกิด ขึ้นมาได้อย่างไร ...ก็จะได้รับคำตอบว่า..
              เมินนานมาแล้ว..ก่อนที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก และผืนแผ่นดินยังราบเรียบเสมอกัน ยังมีชายคนหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์กว่ามนุษย์ปัจจุบันหลายร้อยหลายพันเท่ามีนาม  ว่าปู่หละหึ่งปู่หละหึ่งมีอาชีพทำไร่ทำนาบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นที่นาของปู่หละหึ่ง ทั้งหมด แต่ละปีปู่หละหึ่งจะปลูกข้าวกล้าและไถนาทิ้งไว้
 ปู่หละหึ่งมีเพื่อนสนิทที่มีรูปร่างใหญ่โตพอๆกันอยู่คนหนึ่งชื่อว่า อ้ายโง้มฟ้า”  และมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ สำหรับอ้ายโง้มฟ้านั้น เวลายืนจะต้อง(โง้ม)หรือก้มหัวตลอดเวลา เพราะความสูงของแก่ แม้แต่หัวยังจรดถึงฟ้า
                ด้วยภารกิจที่ใหญ่โต ปู่หละหึ่งจึงไถนาของตนเองไม่เสร็จสักที ปู่หละหึ่งจึงไปขออ้ายโง้มฟ้ามาช่วยทำนา ว่ากันว่าถ้าทั้งสอง คนเดินไปทางไหน ถ้ามีคนพบรอยเท้าข้างหนึ่ง(ไม่ว่าซ้ายหรือขวา) หากเดินไปเรื่อยๆต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี จึงจะพบรอยเท้าอีกข้างหนึ่ง แสดงว่าปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้านั้นคงจะมีร่างกายใหญ่โตมิใช่น้อยๆ อีกอย่างหนึ่งควายที่ปู่หละหึ่งใช้ไถนานั้น เป็นควายที่ตัวใหญ่เขาโง้ม เวลาไถนาเขาควายปู่หละหึ่งจะครืดฟ้าดังครืนๆ               
ปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้าทั้งสองคนช่วยกันทำไร่ไถนาปี แล้วปีเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสิ้นสักที จนเวลาผ่านไปล่วงเลยมาถึง ยุคของมนุษย์คนเราเสียก่อน ด้วยเหตุดังนี้บริเวณที่เป็นภูเขาหรือ เทือกเขาที่เห็นสลับซับซ้อนทั่วไปในภาคเหนือรวมไปถึง ดอยด้วน ที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จึงเป็นขี้ไถของปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้า ที่ไถค้างไว้นั่นเอง
                เรื่องราวของปู่หละหึ่งกับอ้ายโง้มฟ้ายังตรึงตราอยู่ในห้วงจิตนาการผมอยู่เสมอ ทุกครั้งที่สายตาทอดมองไปยังขุนเขาและดงดอยต่างๆ ถึงแม้ว่าโตขึ้นมาจะรู้ว่าเป็นนิทานปรัมปราที่ผู้ใหญ่มักจะแต่งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเพราะทดความเซ้าซี้กับคำถามของเด็กๆ ไม่ไหว แต่มันก็เป็นคำอธิบายชุดหนึ่งที่สามารถตอบคำถามในยุคๆ หนึ่งได้ว่า สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่รอบตัวเรานั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สะท้อนถึงภูมิปัญญาและพัฒนาการทางสังคมของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แม้ว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะไม่รองรับคำอธิบายดังกล่าวก็ตาม
                การสร้างตำนานให้สอดคล้องกับภูมิประเทศปรากฏให้เห็น อย่างเด่นชัดในสังคมล้านนา เรื่องราวของดอยด้วนมีการกล่าวถึงใน ตำนานและพงศาวดารต่างๆ อีก เช่น ในตำนานเมืองพะเยาและใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ กล่าวถึงดอยด้วนว่าเป็นสถานที่ๆพ­ญางำเมืองกษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งเมืองพะเยา เมื่ออายุ ๑๔ ปี ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาการกับฤๅษีที่ดอยด้วนแห่งนี้  และก่อนหน้านั้นขุนจอมธรรมก็อพยพผู้คนมาสร้างอาณาจักรบริเวณปลายดอยด้วน ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมในการสร้างบ้านแปงเมืองจนเกิดเมืองพะเยา ขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ เราคงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเรื่องราวอันปรากฏในตำนานที่ บรรพบุรุษบันทึกไว้จะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่แต่ประการใด แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกได้ก็คือ ดอยด้วนคงมีความสำคั­ญ ต่ออาณาจักรภูกามยาวอย่างไม่มากก็น้อย
ความสำคั­ญของดอยด้วนคงมิใช่แค่มีปรากฏในตำนานหรือ เรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมาอย่างมิรู้จบเท่านั้น หากแต่ดอยด้วนเป็นภูเขาหินทรายที่เป็นแหล่งวัตุดิบสำคัญ­ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ ของถิ่น ภูกามยาวมาแต่ครั้งบรรพกาล     
                วัฒนธรรมการใช้หินของมวลมนุษยชาติปรากฏขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หากแต่รูปแบบและลักษณะชนิดของหินที่นำมาใช้นั้นจะแต่ต่างกันไปตามแต่ล่ะภูมิประเทศและทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น
                หิน (Rock) คือของแข็งที่ประกอบกันเป็นเปลือกโลกทั้ง หมด เป็นส่วนประกอบของอินทรียวัตถุ ที่ประกอบด้วยแร่ตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไป แต่บางครั้งอาจจะมีแร่เพียงชนิดเดียวได้ เช่น ควอทซ์ หรือ ยิปซัม เป็นต้น หินแบ่งออกเป็น ๓ ชนิดคือ หินอัคนี หินชั้น และหินแปร


หินทราย เป็นหินชั้นชนิดหนึ่งเป็นหินที่มีรูพรุนซึ่งเกิดจากเม็ด ทรายผนึกติดกันด้วยสารซิลิกา  หรือสานอื่นๆเช่น ออกไซด์ของเหล็ก ดินเหนียวหรือแคลไซท์ และ ควอทซ์ หินทรายมีหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นหินที่แกะสลักได้ง่าย ขณะขุดขึ้นมาจากเหมืองใหม่ๆ ด้วยเนื้อหินยังชุ่มน้ำอยู่ ซึ่งน้ำในเนื้อหินทรายจะเต็มไปด้วยแร่ธาตุและสารต่างๆละลายอยู่ แต่ถ้าก้อนหินนี้ถูกอากาศนานเข้า ความชื้นในเนื้อหินจะ ค่อยๆระเหยไปเหลือแต่ธาตุต่างๆ มีผลให้ช่วยกันจับยึดเนื้อหินจน แข็งตัว  หินทรายเมื่อนำมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือแว่นขยาย จะเห็นเป็นเม็ดทรายเล็กๆ ซึ่งมีตัวประสานเม็ดทราย ตัวประสานนี้ จะผสานซิลิกาเข้าด้วยกัน ตามแร่ควอทซ์จะไม่มีสี   หินทรายมีสีก็เพราะตัวประสาน  มีสารประกอบที่มีสีต่างๆ เช่น หินทรายแดงและ หินทรายเขียวเป็นต้นเนื้อของหินทรายจะมีความหยาบและ ละเอียดไม่เท่ากันหินทรายที่ละเอียดมากที่สุดคือหินดินดาน ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ของเม็ดทรายต่ำกว่า ๑/๑๐ ม..ลงมา ส่วนหินทรายมีเส้นผ่าศูนย์ กลาง ๑/๑๐๒ ม..ส่วนพวกที่มีเม็ดทราย เส้นผ่าศูนย์กลางมาก กว่า  ๒ ม..เรียกว่า Conglomerates คือมีทรายเม็ดใหญ่พวกกรวด ปนกับทรายเม็ดเล็ก ภูเขาหินทรายลวดมักจะเรียวเป็นเส้นตรง เป็นที่ราบกว้าง ให­ญ่เพราะหินทราย นั้นอัดตัวทีละชั้น
                 ความนิยมในการใช้หินทรายนั้น ปรากฏให้เห็นในอารยธรรมของมนุษย์มาเป็นเป็นเวลาช้านาน สิ่งก่อสร้างโบราณที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้งยุคต้น ยุคกลาง  ยุคปัจจุบัน หลายชิ้นก็ทำมาจากหินทราย เช่น มหาปิรามิดคีออปส์ ในอียิปต์ก็สร้างจากหินทราย  หรือแม้แต่สนามกีฬากรุงโรม ปราสาทหินนครวัด-นครธม ในกัมพูชาก็ล้วนแต่สร้างจากหินทราย
                หินทรายสำหรับประติมากรชาวอเมริกันนิยมมาใช้ได้แก่ หินทรายสีน้ำตาล  หินทรายแอมเฮอร์ส และหินดันวิลล์ ส่วนหิน ทรายในแถบวัฒนธรรมตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้การแกะ สลักประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม(เทวสถาน,พุทธสถาน) ได้ แก่หินทรายออกทางสีชมพู สีเขียว และสีน้ำตาล

  
สงแดดส่องผ่านก้อนเมฆกระทบกับแนวเขาที่ทอดตัวนอนยาวขนานไปกับผืนดิน สว่างบ้างมืดบ้าง เนื่องด้วยแสงแดดจากเบื้องบนส่องลงมาไม่ถึง ป่าแพะตีนดอยแลเห็นผู้คนเดินลงมากันเป็นแถวตามเส้นทางเลียบสันเขา มองในระยะไกลคงไม่ต่างจากแถวมดแดงที่เดินจูงหนวดกันกลับคืนสู่รัง....ที่พร้อมกับสิ่งของเล็กๆน้อย อันจะกลายเป็นอาหารมื้อค่ำที่ธรรมชาติแบ่งปันให้  ป่าแพะตีนดอยด้วนแห่งนี้จึงเปรียบดั่ง เซเว่น อีเลฟเว่น ของชาวบ้านที่มีของทุกอย่างให้เลือกสรร ยามเห็ดมีเห็ด ยามหน่อมีหน่อ  วิถีชีวิตของคนผู้ส่วนใหญ่จึงผูกพันกับ    ดิน  น้ำ  ป่า เขา ไม่รีบร้อนดิ้นรน เหมือนคนในเมือง
                ความอุดมสมบรูณ์ของดอยด้วน  ได้หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ตีนดอย มาช้านานนัก ดอยด้วนเป็นต้นกำเนิดของ น้ำแม่ปืม ลำห้วยสายเล็กๆที่ไหลลงดอย เข้าสู่หมู่บ้าน  เป็นทั้งน้ำกินและน้ำใช้  เมื่อมีน้ำ สรรพชีวิตก็ย่อมถือกำเนิดขึ้นการดำรงอยู่ของสังคมจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งจึงได้สร้างสรรค์และก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณี อันแสดงถึงความ ผูกพันระหว่างชาวบ้านกับประติมากรรมของธรรมชาติ แห่งนี้
เรื่องราวของสิ่งเหนือธรรมชาติจึงถูกนำมาเชื่อมโยงผ่าน ระบบความเชื่อการนับถือเจ้าแห่งขุนเขาและสายน้ำ เป็นวาทกรรมที่ถูกกำหนดขึ้นโดยบรรพบุรุษ เพื่อใช้เป็นกฎเกณฑ์และกุศโลบาย ในการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมมิให้ล่วงละเมินต่อธรรมชาติ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าดอยด้วนแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอยู่ มี เจ้าพ่อดอยด้วน เป็นเก๊าเป็นเหง้าปกห่มชาวบ้านตีนดอยหื้อยู่ดีมีสุข ถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง จึงมีประเพณีดำหัวพ่อเจ้าดอยด้วนเกิดขึ้น ชาวบ้านจะมาช่วยกันจัดเตรียมงานอย่างพร้อมเพียงเรียงหน้า วัตถุดิบต่างๆที่จะต้องใช้ในงานถูกนำมาเปาะฮอมกัน..จึงถือว่าเป็นงานเลี้ยงสรรค์สันที่ยิ่งใหญ่ประจำหมู่บ้าน  อาจจะดูเป็นความเชื่อที่งมงายไร้สาระในสายตาของคนนอก  หากมันเป็นกิจกรรมทางสังคมที่หล่อหลอมและสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน        
                ไร้สิ้นสำเนียงเสียงขับขานของผู้คน... พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายเอียงกายลอยผ่านปุนเมฆไปอย่างเชื่องช้า วัฎจักรแห่งวันเวลา กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างมิย่อท้อ นกปิ๊ดตะลิวสองตัวบินมาเกาะกิ่งฝ้ายคำพร้อมกับขยับปีกไปมา เหมือนมันจะให้สั­­ญญาว่าจะอยู่ดูแลกันและกันไปจนวันตาย   ณ  บรรพตหินทรายแห่งนี้ ..

พ่อค้าวัวต่าง



พ่อค้าวัวต่าง
กฤษฎา  พรหมปาลิต




พ่อค้าวัวต่างเป็นพ่อค้าในระดับท้องถิ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทางด้านเกษตรกรรม การทำไร่ทำนา และประกอบการค้าขายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว พ่อค้าวัวต่างส่วนมากทำนาเองและเดินทางค้าขายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ในเมืองพานได้มีการกล่าวถึงพ่อค้าวัวต่างค่อนข้างแพร่หลายเนื่องจากเมืองพานเป็นจุดหลักจุดหนึ่งของการเดินทางค้าขายของพ่อค้าวัวต่าง จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองพานเล่าว่า การค้าขายของพ่อค้าวัวต่างจะเดินทางมาที่เมืองพาน ในช่วงประมาณเดือนห้า เดือนหก (เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม) [1] การเดินทางของพ่อค้าวัวต่างจะมีเอกลักษณ์ที่คนในหมู่บ้านจะทราบทันทีว่ามีคณะพ่อค้าวัวต่างมาถึง คือ เสียงของ”ห้อกวัว”(กระดิ่งไม้ที่คอวัว) ซึ่งจะส่งเสียงดังให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ยินเมือคนในหมู่บ้านได้ยินก็จะออกมาซื้อขายสินค้าที่พ่อค้านำมาขาย           
                  
          เส้นทางการค้าขายของพ่อค้าวัวต่างในเมืองพาน มีการกล่าวถึงว่าอาจใช้เส้นทางท่าอิฐ - พะเยา - เชียงราย  พ่อค้าวัวต่างในเขตอำเภอต่างๆของจังหวัดพะเยาและเชียงราย ได้มาซื้อสินค้าจากท่าอิฐ ที่อุตรดิตถ์ พ่อค้าเหล่านี้อาจมาจากอำเภอพาน  ปง  ปัว  เทิง  เชียงคำ เชียงม่วน เชียงของ ฯลฯ สินค้าที่พ่อค้าวัวต่างนำมาส่วนมากเป็นผลิตผลในท้องถิ่น เช่น พ่อค้าในอำเภอพาน ซื้อพริก ฝ้าย หวาย ผ้าทอ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ผลมะแค่น นำไปขายยังหมู่บ้านต่างๆที่ผ่านไปยังท่าอิฐ แล้วซื้อผ้า ปลาร้า ปลาแห้ง เกลือ ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด นำไปขายยังเมืองพาน  และที่ตำบลบ่อเกลือเหนือ  บ่อเกลือใต้  อำเภอปัว จังหวัดน่าน มีเกลือสินเธาว์ พ่อค้าวัวต่างจากเมืองพานได้มาซื้อเกลือสินเธาว์ที่อำเภอปัวกลับไปขาย[2]
          ในการเดินทางค้าขายของคาราวานพ่อค้าวัวต่าง จะมีผู้นำหรือเจ้าของคาราวาน เรียกว่า “นายฮ้อย” นายฮ้อยจะเป็นผู้นำในการเดินทางไปค้าขายยังที่ต่างๆ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ได้กล่าวถึงลักษณะบุคลิกของนายฮ้อยว่า นายฮ้อยจะสะพายดาบ ใส่รองเท้าหนัง ดูมีฐานะ ชาวบ้านทั่วไปจึงนิยมที่จะกล่าวถึงตัวนายฮ้อยว่าเป็นคนมั่งมี(คนรวย) สาวชาวบ้านหลายคนที่นายฮ้อยถูกใจก็มักจะมาพักอยู่ด้วยหากเดินทางผ่านมาค้าขายและทัศนคติของชาวบ้านทั่วไปก็เห็นดีด้วยที่สาวชาวบ้านได้นายฮ้อยเป็นสามี ดังคำกล่าวเล่าลือในช่วงที่มีนายฮ้อยมาได้คนในหมู่บ้านเป็นเมีย “เปิ้ลได้ผัวเป๋นนายฮ้อย บ่เด๋วเปิ้ลร่ำเปิ้ลรวยขนาด”[3] ฐานะทางสังคมในสมัยนั้นของนายฮ้อยก็เหมือนกับนักธุรกิจหรือพ่อเลี้ยงในสังคมเมืองปัจจุบัน
          หลังจากมีการพัฒนาระบบการคมนาคมในภาคเหนือ ในเขตพื้นที่อำเภอพานได้มีถนนสายหลักตัดผ่านตัวอำเภอละมีถนนหลายสายเข้าสู่หมู่บ้านทำให้การขนส่งสินค้าต่างๆเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบการขนส่ง คือจากเส้นทางเดิมที่พ่อค้าวัวต่างจะใช้เส้นทางผ่านภูเขา มาเป็นถนนที่สร้างขึ้นใหม่แทน และรูปแบบการขนส่งจากที่ใช้วัวต่างก็จะเปลี่ยนมาใช้รถขนส่งแทน เนื่องจากรถ ขนส่งได้มากกว่า เร็วกว่า และการเดินทางแต่ละครั้งจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ทำให้อาชีพพ่อค้าวัวต่างที่ผ่านมาทางเมืองพานค่อยๆหายไปจากสังคมและหมดไปในที่สุด เหลือเพียงแต่คำบอกเล่าของ ปู่ ย่า ตา ยาย ถึงเส้นทางที่เคยเป็นเส้นทางของพ่อค้าวัวต่าง และมนต์เสน่ห์ของตลาดนัดเคลื่อนที่ของคนสมัยก่อนซึ่งไม่มีให้คนสมัยปัจจุบันได้เห็นอีก สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นการพัฒนาของสังคม ของเมือง ของประเทศ ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธการพัฒนาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่กับสังคมของเราต่อไปคือความทรงจำของเส้นทางการค้าขายในหมู่บ้านภาคเหนือ ที่ทุกคนในสังคมต่างเรียกกันว่า “พ่อค้าวัวต่าง”




[1]  สัมภาษณ์ คุณยายทับทิม  พรหมปาลิต  ตำบลเมืองพาน  อำเภอพาน  จังหวัดเชียงราย
[2] ชูสิทธิ์  ชูชาติ รายงานการวิจัยเรื่อง พ่อค้าวัวต่าง  ทุนอุดหนุนการวิจัย จาก กรมการฝึกหัดครู พิมพ์ครั้งที่ 1  หน้า 48
[3] สัมภาษณ์ คุณยายทับทิม  พรหมปาลิต  (อ้างอิงแล้ว)

ความทรงจำนอกกระแส “บะก่องถี่เมืองพาน”



ความทรงจำนอกกระแส
“บะก่องถี่เมืองพาน”
~ สาวหล้า ~
 

ท้องฟ้าปลายวสามืดครึ้ม เต็มไปด้วยเมฆาก้อนมหึมามันพร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ เสียงฟ้าร้องอึกทึกครึกโครมดังราวกับงานปอยหลวง ยายแก่ๆ อายุราว 80 ปี นั่งตำน้ำพริกแข่งกับเสียงฟ้าร้องอยู่ในครัว ยายนางกำลังทำกับข้าว และมีหลานสาววัยเบญจเพสช่วยเป็นลูกมือ ระหว่างที่อีน้องแหว๋วกำลังนั่งเด็ดผักเตรียมให้ยายใส่แก๋งแคไก่ ก็ได้ยินเสียงยายนางเอ่ยค่าวสั้นๆ ขึ้นมาว่า

หยั่งใจ๋คนนั้น บ่ตึ๊กถึงได้ หยั่งน้ำเมื่อใด ยังโผล่มาได้ ดูคนใจ๋หิน

หลายสาวคิ้วขมวดทำท่าสงสัย

ยายพูดอะหยัง แหว๋วบ่เคยได้ยิน

ค่าว

ค่าว หลานสาวย้ำคำ

เป็นคำค่าวที่เขาใช้เป็นปัญหาทายบะก่องถี่

บะก่องถี่มันคืออะไรยาย หลายสาวสังสัย

ยายนางตั้งท่าเล่า “บะก่องถี่ เป็นการเสี่ยงโชคของชาวไทใหญ่ ที่พม่าปู้น หรือเรียกง่ายๆ  มันคือการพนันอย่างหนึ่ง เมื่อปางอดีตที่หล่ายหน้าแม่สายจะมีปอยปางวาดในช่วงตอนหน้าหนาวหลังเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนาแล้ว คนไทยนิยมเล่นบะก่องถี่กันมากมาย จนกระทั้งการพนันชนิดนี้ได้แพร่เข้ามาทางแม่สาย รวมถึงเมืองพานบ้านเราด้วย”

แก๋งแคของยายนางหอมอบอวนกลบกลิ่นไอฝนที่กำลังกระจายมาถึง ยายนางเอื้อมมือยกหม้อดินลงจากเตาไฟช้าๆ แล้วก็เล่าต่อ

“การพนันชนิดนี้เป็นการหารายได้เข้ารัฐของพระมหากษัติย์หรือเจ้าฟ้าในภาษาไต ดังนั้นเจ้ามือก็คือเจ้าฟ้า แต่บ่ะก่องถี่ในเมืองพานหลังไฟไหม้กาดปี 2500 – 2510 เศษนั้น เจ้ามือก็คือคนธรรมดาๆ นี้เอง ชื่อนายใจ๋ แต่เนื่องจากมีคนชื่อใจ๋หลายคน วัฒนธรรมคนเมืองต้องตั้งฉายานามเพื่อจำแนกแยกจากคนชื่อใจ๋อื่น ชาวบ้านโดยเฉพาะแฟนๆ ชาวบะก่องถี่ทั้งหลายจึงให้ฉายาเจ้าฟ้าท้ายชื่อกลายเป็น ใจ๋เจ้าฟ้า หรือเรียกอีกอย่างว่า เจ้าฟ้าใจ๋

ฮ่าๆ ฮ่าๆ .... อีน้องแหว๋วหัวเราะชอบใจ แล้วถามต่อ

“ยาย แล้วเขาเล่นกันยังไง”

ยายนางยิ้มแล้วเล่าต่อ

“การเล่นก็ไม่ยาก จะมีองค์ประกอบหลักๆ 6 ตัว หรือ 36 หัวเมือง เป็นสิงห์สาราสัตว์ 34 ตัว ที่เหลือเป็นแม่ชีกับแหวน ตามกฎ กติกาการเล่นบะก่องถี่ ตัวปริศนาหรือตัวทายเหล่านี้ถูกจัดไว้ตายตัว โดยมีช้างคู่กับอีเห็น ม้าคู่กับนกยูง กระต่ายคู่กับแหวน ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นตัวปริศนาหรือตัวทายทังหมดจึงจับคู่ได้ 18 คู่ การจับคู่มีความหมายสำหรับเจ้ามือมากกว่าผู้เล่นหมายเลข 1 วอก (ลิง)           คู่กับ    หมายเลข 18 ปลาคำ (ปลาทอง)
หมายเลข 2 กระต่าย           คู่กับ    หมายเลข 5 แหวน
หมายเลข 3 ปลาเงิน            คู่กับ    หมายเลข 35 ขี้เดือน (ไส้เดือน)
หมายเลข 4 นกก๋าแก๋(นกพิราบ) คู่กับ    หมายเลข 16 นกแดง
หมายเลข 6 ไก่                 คู่กับ    หมายเลข 28 ปลาเหยี่ยน (ปลาไหล)
 หมายเลข 7 แม่ขาว (แม่ชี)      คู่กับ    หมายเลข 12 กว๋าง (กวาง)
หมายเลข 8 อีเห็น              คู่กับ    หมายเลข 20 ช้าง
หมายเลข 9 หมา               คู่กับ    หมายเลข 14 หนู
หมายเลข 10 ก่ำปุ้ง (แมงมุม)    คู่กับ    หมายเลข 25 งัว (วัว)
หมายเลข 11 เต่า               คู่กับ    หมายเลข 27 ก่ำเบ้อ (ผีเสื้อ)
หมายเลข 12 เป็ด               คู่กับ    หมายเลข 33 งู
หมายเลข 13 ม้า                คู่กับ    หมายเลข 26 นกยูง
หมายเลข 15 หอย              คู่กับ    หมายเลข 31 เผิ้ง (ผึ้ง)
หมายเลข 17 แมว               คู่กับ    หมายเลข 19 สิงโต
หมายเลข 21 ปู                 คู่กับ    หมายเลข 18 นาก
หมายเลข 22 แพะ              คู่กับ    หมายเลข 23 ก๋าดำ (อีกา)
หมายเลข 24 เสือ               คู่กับ    หมายเลข 29 นกยาง (นกกระยาง)
หมายเลข 30 กบ               คู่กับ    หมายเลข 34 หมา


บะก่องถี่มีวิธีการเล่นค่อนข้างง่ายมาก เพียงแต่นักแทงทั้งหลายจะต้องใช้สมองคิด ไตร่ตรอง ตีความ วิเคราะห์ปริศนาโจทย์จากค่าวให้แตก เมื่อได้คำตอบแล้วจึงเลือกแทงตัวทายปริศนาตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวใน 36 ตัว สมมุติว่าจากการวิเคราะห์ ค่าวและตีความ ปัญหาและ บะก่องดิบประจำงวดเชื่อว่าสัตว์ปริศนาน่าจะเป็น ม้าแต่เนื่องจากบะก่องถี่มีการจับคู่ไว้แล้ว 18 คู่ เจ้าฟ้าอาจจะออก นกยูงแทนก็ได้ (ม้า คู้กับ นกยูง) ถือว่าเป็นสิทธ์อันชอบธรรม ทำได้ไม่ผิดกติกาไม่ขัดต่อปริศนาโจทย์ ดังนั้นผู้ที่นิยมเสี่ยงโชคบะก่องถี่ทั้งหลาย มักจะซื้อคู่ของสัตว์หรือสิ่งของนั้นๆ ควบกันไปด้วยเพื่อกันการผิดหวังและเสียโอกาส ในกรณีนี้เมื่อแทงม้าส่วนใหญ่จะแทงนกยูงควบไปด้วย

สมมุติว่าบะก่องดิบกล่าวไว้ว่า : สัตว์ตัวนี้ปลิ้นป๊อกปลิ้นแป๊ก (หน้าไหว้หลังหลอก) ตีความแล้วน่าจะเป็นวอก (ลิง) แต่ควรจะซื้อปลาคำ (ปลาทอง) คู่ของวอก (ลิง)

ผลการออกบะก่องถี่จะเป็นสัตว์หรือสิ่งของ 1 ใน 36 ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น บะก่องถี่ในเมืองพานจะจ่ายคืนให้รางวัลบาทละ 25 บาท ในขณะที่หล่ายหน้า (ท่าขี้เหล็ก) แม่สาย บาทละ 27 บาท

        สายฝนเทลงมาจากฟ้าเหมือนกระแสธาราอันบ้าคลั่ง กระแสลมพัดตีเม็ดฝนกระจัดกระจายเป็น หยดน้ำนับร้อยนับพันหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย น้านายลูกสาวคนเดียวของยายนางนั่งดูทีวีที่โซฟาร์ อีน้องแหว๋วยังคงสังสัยเรื่องบะก่องถี่ที่ยายเล่าฟังตอนเย็น

น้านาย น้ารู้จักบะก่องถี่ไหม

รู้ซิ....... น้านายหันมาตอบแล้วยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

สมัยที่น้าอายุราวๆ สัก 10 ขวบ น้าเคยเป็นเด็กเดินโพยมาก่อน แหว๋วนั่งฟังอย่างตั้งใจ
 “สมัยราวๆ พ.ศ. 2516 บะก่องถี่เป็นการเสี่ยงทายที่ได้รับความนิยมยิ่งกว่าหวยใต้ดินในสมัยนี้อีก  ตอนนั้นน้าเป็นคนขายบะก่องถี่ที่บ้านหนองบัว แล้วก็นำโพยไปส่งให้เจ้าฟ้าใจ๋  ก่อนที่บะก่องถี่จะออก ถ้าน้าขายได้ 5 บาท น้าจะได้รับค่าตอบแทน 1 บาท บางวันเจ้ามือก็จะใบ้บะก่องดิบให้น้า

บะก่องดิบ.... มันเป็นยังไง แหว๋วทำท่าสงสัย

น้านายเริ่มย้อนอดีตเล่าถึงความหลังตอนที่เคยเป็นเด็กเดินโพย

ยามเมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ สาดส่องใบหน้าเด็กน้อยวัย 10 ขวบ ที่กำลังปั่นรถถีบเก่าๆ ไปขายบะก่องถี่

อีน้อยวันนี้มีบะก่องดิบไหม หญิงวัยกลางคนนุ่งผ้าซิ้น สวมรองเท้าแตะ มือถือถุงผักกาดที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดเอ่ยถาม

ไม่รู้เจ้า วันนี้น้องไปหาเจ้าฟ้ามา แกบอกว่า มาทำไมเดี๋ยวตบปากบึนจื้อพื้อเลย
หญิงวัยกลางคนได้ยินจึงวิเคราะห์ว่าต้องเป็นหมูแน่นอน ชาวบ้านต่างก็พากันซื้อหมูตามๆ กัน วันนี้นายจึงขายบะก่องถี่ได้เยอะเลยทีเดียว

เสียงรถถีบเก่าๆ ดังเอียดอาดแข่งกับเสียงกบเขียดในท้องนา นายเด็กตัวน้อยผิวขาวดูสะอาดสดใสปั่นรถถีบนำโพยบะก่องถี่ไปส่งที่บ้านเจ้าฟ้าใจ๋ วันนี้นายได้ค่าตอบแทนถึงซาวกว่าบาท

เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ไฟจากบ้านไม้ 2 ชั้น ในซอยวัดม่วงคำก็เริ่มส่องสว่าง ชายสูงวัยรูปหล่อ ผิวขาว ยืนบิดตัวอยู่หน้าบ้าน มีชาวบ้านมากมายมารวมตัวกันที่ลานบ้านของเขา

เจ้าฟ้าใจ๋ได้เวลาเฉลยบะก่องถี่ล่ะก้า ชายคนหนึ่งเอ่ยถามเจ้าฟ้าใจ๋ สักพักกล่องใบหนึ่งที่แขวนไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็ถูกชักลอกลงมาจากต้นไม้ เพียงแค่ครู่เดียวก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมา แทรกด้วยวิเคราะห์วิจารณ์ และเสียงปรมมือดังสนั่น

ว่าแล้วเห็นไหม ออกแต้เลย ชาวบ้านพูดกันพรึมพรำ

        บะก่องถี่งวดนี้ออก หมูชาวบ้านถูกรางวัลกันหลายคน บางคนถึงกับแบ่งเงินให้กับอีน้องนาย เด็กน้อยที่นำบะก่องดิบไปให้ชาวบ้านวิเคราะห์กัน

อีน้องแหว๋วทั้งยิ้ม และหัวเราะชอบใจถึงเรื่องราวอันสนุกสนานในสมัยก่อน

ปางเมื่ออดีตนั้น คนในกาดเมืองพานติดบะก่องถี่กันงอมแงม ผู้คนต่างพากันนอนดึก เพราะเพียงแค่รอลุ้นผลบะก่องถี่ ทั้งๆ ที่ไฟฟ้าก็ยังไม่สะดวกมากนัก ถนนหนทางก็ยังมืด หลังจากที่บะก่องถี่ออกตอน 5 ทุ่ม ก็จะได้ยินเสียงวิจารณ์เบาๆ จนถึงอีกวันหนึ่งก็จะเริ่มวิจารณ์หนักขึ้น พร้อมกับเสียงแช่ด่า บ้างก็ว่าเจ้าฟ้าออกไม่ตรงปัญหาในค่าว บ้างก็ว่าตัวเองนี้โง่คิดตื้นเกินไป บางคนก็บอกว่าออกตรงที่ฝันไว้เลยแต่เสียดายไม่ได้แทง เจ็บใจตัวเอง ฯลฯ

บะก่องถี่ได้หายไปจากเมืองพานนับสิบๆ ปีแล้ว ปัจจุบันจึงเป็นแค่เรื่องเล่าต่อๆ กันมา เพราะหลักฐานต่างๆ เช่น แผงบะก่องถี่ หรือแม้แต่ตัวของเจ้าฟ้าใจ๋เอง ได้สูญหายไปพร้อมกับสังขาลย์ของเจ้าฟ้าใจ๋ไปหลายปีแล้ว และบ้านของเจ้าฟ้าใจ๋ปัจจุบันก็กลายเป็นตึกสูงใหญ่สำหรับทำการค้าไปแล้ว เจ้าฟ้าใจ๋ จึงเป็นบุคคลในความทรงจำของคนในเมืองพานเท่านั้น เมื่อเอ่ยถึงความทรงจำเกี่ยวกับบะก่องถี่แล้ว ยังมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำเมื่อเอ่ยถึงบะก่องถี่ในตลาดพาน นั้นคือ “ป้าเอื้อย” 


ในสมัยนั้นบะก่องถี่เป็นธุรกิจที่มีกำไรงาม ป้าเอื้อย ทนไม่ไหวกระโจนเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์เปิดบ่อนแข่งกับเจ้าฟ้าใจ๋ ขณะที่กำลังทำกำไรเพลินๆ วันหนึ่งป้าเอื้อยก็เสนอบะก่องดิบว่า

 “สัตว์ตัวนี้ฮ้องเสียงดัง”

5 ทุ่มคืนนั้น แฟนๆ บะก่องถี่ป้าเอื้อย คิดว่าอย่างไรเสียบะก่องถี่คืนนี้คงจะหนีไม่พ้น ช้าง ม้า วัว เสือ หรือสิงโต ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีเสียงร้องดัง ตรงกับปริศนาบะก่องดิบมากที่สุด

ในที่สุดทุกคนต้องผิดหวัง บะก่องคืนนั้นออก...แหวน...

สร้างความเฮฮาตลกขบขันมากในคืนนั้น บางคนก็ขำจนนอนไม่หลับ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นแหววฮ้องได้ หลังจากนั้นแฟนๆ บะก่องถี่ต่างให้ฉายานามป้าเอื้อยใหม่ แทนที่จะใช้ คำว่า เจ้าฟ้า เหมือนเจ้ามือรายอื่นๆ กลับพร้อมใจกันให้ฉายาป้าเอื้อยด้วยอารมณ์ที่ขบขันแกมประชดว่า

“เอื้อยแหวนฮ้อง”

ปัจจุบันบะก่องถี่ก็ไม่มีใครขายหรือเปิดบ่อนเล่นแล้ว เพราะถือว่าเป็นการพนันที่ผิดกฎหมาย มีเพียงในบางพื้นที่เท่านั้นที่ยังแอบเล่นกันอยู่ แต่ก็ยังบ่พ้นจมูกของตำรวจอยู่ดี

ตัวอย่างปัญหาทายบะก่องถี่
ปัญหาข้อ ๑ : แก้วแก่นเม็ดค่ามันแปงหลวง เอาลุกตางเหนือมาขายตางใต้ กำไฮมีมากนัก ปั๋ญหาหื้อดูจ้าดนัก กลับปิ๊กป้อกบ้านเมือเมือง

ปัญหาข้อ ๒ : ฟังวิทยุใจ๋หลุใจ๋หาย ได้ฟังกำทำนายใจ๋ฮักขึ้น ต้องสายใจ๋ดีมโนต้องๆ ปอได้ดีคำเมาอิ่มต้อง ปัญหาหื้อดูไก่เมาถูกค้อน ก็ก้อยหายเป่งหม่อมเมาไป

ปัญหาข้อ ๓ : ท่าขี้เหล็กนี้บ้านเมืองคับขัน แม่สายแม่จันคนเดินไต่เต้า ปัญหาหื้อดูยามคืนนั้นเล่า เป๋นเปี๊ยะแห่งอั้นลายเมียว

ปัญหาข้อ ๔ : ยามดอกไม้ติ้กหาบานเผย ไผจมเจยไฅ่ดมดอกแก้ว ปัญหาหื้อดูตี้น้ำกิ่วเจี้ยวไหลไปยังบ่อก้าง

ปัญหาข้อ ๕ : ผ้าลายดอกไม้ยิ่งดูยิ่งสวย สอดหาตวยตี้ไหนบ่ได้ มีแต่ร้านเดียวกะลาแขกใต้ ตั้งขายอยู่หั้นฮิมตาง ปัญหามันแท้บ่ถ้าดูไกล๋ หื้อดูในร้านกูลาเถ้า

กำเฉลย
ปัญหาข้อ ๑ หวยออก แม่ขาว
ปัญหาข้อ ๒ หวยออก จ้าง
ปัญหาข้อ ๓ หวยออก อีเห็น
ปัญหาข้อ ๔ หวยออก กระต่าย
ปัญหาข้อ ๕ หวยออก กบ