”เมืองพาน” จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ต
จักรพันธ์ ม่วงคร้าม
หลังจากที่พิจารณาคดีนี้กำลังจะแล้วเสร็จ
นายปิแอร์ โอร์ต ก็ได้รับคำบัญชาจากพระยาอภัยราชา(โรลัง ยัคมินส์) (Gustave Rolin-Jaequemyns) ชาวเบลเยียม ที่ปรึกษาราชการทั่วไปในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2378-2444)
ให้ออกเดินทางไปเยี่ยมหัวเมืองต่าง ๆ
ในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งสร้างความยินดีให้กับปิแอร์ เป็นอย่างมาก ปิแอร์ โอร์ต
ออกเดินทางไปเยี่ยมหัวเมืองต่าง ๆ เริ่มจากเมืองลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงราย แพร่
น่าน ซึ่งขณะนั้นรวมเป็นมณฑลลาวเฉียง(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมลฑลพายัพ) การเดินทางในครั้งนั้นใช้เวลานานหลายเดือน
โดยปิแอร์ ใช้วิธีการเดินทางด้วยการนั่งช้าง ขี่ม้าและเดินเท้า เมื่อไปถึงเมืองใด ปิแอร์ก็จะหารือข้อราชการกับข้าหลวงถึงปัญหาต่าง
ๆ ถ้าเรื่องไหนเห็นว่าสามารถแก้ไขได้ก็จะแนะนำให้ข้าหลวงดำเนินการโดยทันที
หลังจากที่ออกเดินทางจากเมืองน่านแล้ว เขาได้เดินทางไปถึงเมืองปากสายริมแม่น้ำโขง
แล้วล่องแพไปตามลำน้ำจนถึงเมืองเวียงจันทน์
จากนั้นก็ใช้แพเดินทางล่องลงมาจนถึงเมืองหนองคาย ผ่านเมืองหมากแข็ง หรือ
จังหวัดอุดรธานี จนมาถึงเมืองโคราช
ผ่านดงพญาไฟและมาขึ้นรถไฟที่หมู่บ้านหินลังในเขตจังหวัดสระบุรี
ก่อนที่จะเข้าสู่เมืองบางกอก โดยปิแอร์ โอร์ต ได้ใช้เวลาในการเดินทางเยี่ยมหัวเมืองต่าง
ๆ ทั้งหมดนานถึง 5 เดือนเต็ม
ในระหว่างการเดินทาง ปิแอร์
โอร์ต ได้เขียนบันทึกเรื่องราวต่างที่เข้าได้ประสพพบเจอไว้ โดยบันทึกเรื่องราวต่าง
ๆ ของภาคเหนือและประเทศสยามเมื่อ 100 ปีก่อน ดังกล่าว
ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติกรุงบรัสเซลล์ ซึ่ง พิษณุ จันทร์วิทัน
ได้แปลจากบันทึกต้นฉบับออกมาเป็นหนังสือชื่อ “ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง”
บันทึกของ ปิแอร์ โอร์ต ในหนังสือ ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง
ได้เล่าถึงการเดินทาง ขณะที่เขาเดินทางจากพะเยาผ่านมาถึงเมืองพานในวันที่
8 ตุลาคม พ.ศ.2440 เวลาบ่ายสามโมงและได้พักค้างแรมที่วัดแห่งหนึ่ง
เขาได้บันทึกถึงเมืองพานตอนหนึ่งว่า..
“..เมืองพานเป็นเมืองสำคัญขึ้นอยู่กับลำพูน
ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากอาณาเขตเมืองน่าน
เรื่องนี้จะเป็นการสมเหตุสมหรือไม่ที่จะย้ายเมืองพานไปขึ้นกับเชียงราย
ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในกรณีมีผู้ร้ายหลบหนีเข้าไปอยู่ในเขตเมืองพาน
ข้าหลวงเชียงรายก็ไม่มีอำนาจจัดการใดๆ เพราะจะต้องแจ้งไปที่ลำพูนซึ่งอยู่ห่างจากเชียงราย
8-9 วันเสียก่อน..” [3]
จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ต์
ทำให้เราทราบได้ว่าเมืองพานเมื่อศตวรรษที่ผ่าน ถึงแม้จะมีอาณาเขตติดต่อกับเชียงราย
แต่การปกครองก็มิได้ขึ้นตรงต่อเชียงรายแต่อย่างได เข้าใจว่าปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นผลพวงมาจากการอพยพผู้คนเจ้าสู่เมืองพานในช่วงยุค
“เก็บพักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” ภายหลังจากการ “ฟื้นม่าน”(พม่า)
ออกจากล้านนาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปรากฏหลักฐานทางเอกสารหลายฉบับว่า
มีการอพยพผู้คนจากเมืองลำพูนเข้าสู่เมืองพาน และการปกครองในสมัยนั้น
อาจเป็นไปได้ว่าผู้ถูกเกณฑ์หรืออพยพให้มาตั้งถิ่นฐานในที่ใดต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเดิม ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากความต้องการของชนชั้นปกครองที่ต้องการจัดสรรทรัพยากรในท้องถิ่นที่ราษฎรของตนเองมาตั้งถิ่นฐานอยู่
ภายหลังจากที่รัฐสยามส่ง
ข้าหลวงจากส่วนกลางเข้ามาดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ(เชียงใหม่) ในปี พ.ศ.2417 ระบบการปกครองท้องถิ่นในฐานะประเทศราชของรัฐสยาม ที่เคยให้อำนาจโดยตรงแก่เจ้าผู้ครองนคร
ก็เปลี่ยนแปลงไป อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินถูกแทรกแซงโดยข้าหลวงจากส่วนกลาง แต่งตั้งเจ้าเมืองเข้าปฏิบัติราชการแทนเจ้าผู้ครองนคร (เรียกกันว่าเจ้าหลวง) ซึ่งต่อมาเรียกระบบนี้ว่า “เทศาภิบาล” บันทึกของปิแอร์ โอร์ต์ ให้ภาพระบบการปกครองท้องถิ่นในมณฑลลาวเฉียง[4]
ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยยกกรณีของเมืองเชียงใหม่ว่า “...เมืองเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น
11หัวเมืองย่อย หนึ่งในนั้นประกอบไปด้วยเมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสน
(ไม่ปรากฏว่ามี เมืองพาน-ผู้เขียน)แต่ละหัวเมืองย่อยจะแบ่งเป็นแขวงหรือหมู่บ้าน
แต่ละแขวงก็จะมีหมู่บ้านเป็นกลุ่มๆ แต่ละหัวเมืองจะมีเจ้าเมืองแต่งตั้งโดยเจ้าเมืองใหญ่(เจ้าเมืองเชียงใหม่-ผู้เขียน)
โดยการเห็นชอบจากข้าหลวงใหญ่ฯ ในกรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันในการเลือก
เจ้าเมืองบางกอกจะเป็นผู้ตัดสิน เจ้าเมืองทุกคนมียศเป็นพญา
แต่ละแขวงมีหัวหน้าแขวงเป็นขุน
ซึ่งพญาเมืองเป็นผู้แต่งตั้ง แต่ละหมู่บ้านมีแก่บ้านแต่งตั้งโดยพญาเมือง
หัวหน้าแขวงจะแต่งตั้งโดยเจ้าผู้ครองนคร
แขวงต่างๆแบ่งย่อยเป็นหมู่บ้านมีหัวหน้าแต่งตั้งโดย แคว่น
พญาเมืองและแคว่นจะรายงานตรงกับกรมมหาดไทย ทั้งแคว่นและพญาเมืองมีความสำคัญพอๆกัน
หัวหน้าแขวงหลายคนมียศเป็นพญาเช่นเดียวกับพญาเมือง บางแขวงเรียกกันว่าเมือง
ในกรณีเป็นแขวงที่ค่อนข้างมีความสำคัญทั้งหมดนี้ค่อนข้างจะวางไว้อย่างไม่สู่ชัดเจน
จนดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าแขวงและเมืองแตกต่างกันหรือสำคัญกว่ากันอย่างไร..”[5]
ในกรณีของเมืองพานนั้น
ปิแอร์ โอร์ต์ ได้บันทึกไว้ว่าเป็นเมืองสำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าช่วงเวลาดังกล่าว
ผู้ปกครองเมืองพานมีตำแหน่งเป็น “พญา” คือ พญาไชยชนะสงคราม( พ.ศ.2438-2474)
ซึ่งเป็น พ่อเมืองคนสุดท้าย ก่อนที่ “หลวงศุภการกำจร”
ข้าราชการจากส่วนกลางจะเข้ามารับตำแหน่งนายอำเภอคนแรกในปี พ.ศ.2458
แต่อย่างไรก็ตามในเอกสารแผนที่จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ร.ศ.124 (พ.ศ.2448)
ปรากฏคำว่า “แขวงเมืองพาน” ซึ่งมีที่ทำการแขวงอยู่ที่บ้านฝั่งตื่น
การจัดการปกครองแบบมลฑลเทศาภิบาล
ตามระเบียบการปกครองมณฑลพายัพ ร.ศ.119 (พ.ศ.2443) ให้ใช้ระเบียบการปกครองท้องที่ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่
ร.ศ.116(พ.ศ.2440) ทุกมาตรา เพียงแต่ให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งต่างๆเป็นภาษาพื้นเมืองเพื่อให้ราษฏรเข้าได้ง่าย
เช่น ผู้ว่าราชการเมือง เป็นเค้าสนามหลวง อำเภอเป็น แขวง กำนันเป็น แคว่น
ผู้ใหญ่บ้านเป็น แก่บ้าน ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ในเอกสารจากหอจดหมายเหตุ จึง
มีการใช้คำว่า “แขวงเมืองพาน” ปรากฏอยู่แทนที่จะเรียกว่า “อำเภอเมืองพาน” ซึ่งแต่ละแขวงจะมี
กรมการแขวง ประกอบด้วยนายแขวง รองนายแขวง จำนวน 1-2 คนและสมุหบัญชี หน้าที่ของกรมการแขวงคือรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องที่
และจัดเก็บภาษี ในส่วนของนายแขวงนั้น มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นข้าราชการไทยจากส่วนกลางเท่านั้น[6] แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า
ในสมัยนั้นแขวงเมืองพานกลับไม่ปรากฏว่า มีนายแขวงซึ่งเป็นข้าราชการจากส่วนกลางเข้ามาประจำการแต่อย่างใด
เพราะมีหลักฐานว่าข้าราชการจากส่วนกลางที่เข้ามาประจำการเป็นนายอำเภอครั้งแรกในเมืองพานคือ
หลวงศุภการกำจร ในปี พ.ศ 2458 ตามที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น
เป็นไปได้ว่า
ในช่วงระยะแรกของการตั้ง “แขวงเมืองพาน” ขึ้นนั้น ลักษณะการปกครองคงจะยึดตามรูปแบบเดิมคือ
ระบบกินเมือง โดยให้ พญาไชยชนะสงคราม ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองในตำแหน่ง “พ่อเมือง”
ทำหน้าที่นายแขวง เพราะปรากฏว่าที่ทำการแขวงเองก็ได้ย้ายจากศูนย์กลางเมืองพานในปัจจุบัน
ไปอยู่บ้านฝั่งตื่น ซึ่งเป็นบ้านของพญาไชยชนะสงคราม ในระยะแรกนั้นพบว่าจำนวนแขวงมีน้อย
และแต่ละแขวงจำต้องแบ่งอาณาเขตให้กว้างขวาง
เพื่อให้สอดรับกับจำนวนนายแขวงจากส่วนกลางที่มีอย่างจำกัด ขณะนั้นพบว่าในเขตหัวเมืองชั้นในของนครเชียงใหม่มีเพียง
6 แขวง เท่านั้น[7]
น่าเสียดายว่าบันทึกของปิแอร์
โอร์ต ไม่ได้ให้ข้อมูลภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองพานในช่วงเวลานั้นไว้
แต่ก็นับว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ให้ข้อมูลการปกครองของเมืองพานในศตวรรษที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ.2475 มีการยกเลิศระบบเทศาภิบาล เมืองพานจึงถูกผนวกเข้าเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงรายในที่สุด
[1]
ประสิทธิ์
พงศ์อุดม, ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในเชียงใหม่, หน่วยงานจดหมายเหตุประวัติศาสตร์และวิจัย สภาคริสตจักรในประเทศไทย,(มปท.มปพ.)หน้า,13
[3] พิษณุ จันทร์วิทัน (แปล),ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง,
พิมพ์ครั้งที่ 2 ( กรุงเทพฯ: แปลน พริ้นท์ติ้ง, 2539) หน้า 136.
[4]
มณฑลลาวเฉียง
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น มะวันตกเฉียงเหนือ และภายหลังเปลี่ยเป็นมณฑลพายัพ ประกอบไปด้วย
6 เมือง คือ นครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และเมืองเถิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น