วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

”เมืองพาน” จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ต



”เมืองพาน” จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ต
 จักรพันธ์ ม่วงคร้าม


  เมื่อปี พ.ศ.2439 ได้เกิดคดีสำคัญขึ้นที่เชียงใหม่ อันเป็นเรื่องที่เกือบจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสยามกับประเทศสหรัฐอเมริกาต้องได้รับความกระทบกระเทือน เนื่องมาจากการที่นาย อี.วี.เคลเลตท์ รองกงสุลสหรัฐ ที่รัฐบาลสหรัฐส่งมาประจำอยู่ที่เชียงใหม่เพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน ของหมอชิก หรือ นายแพทย์แมเรียน เอ. ชีค อดีตหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันซึ่งได้หันมาทำธุรกิจป่าไม้[1] และกำลังเป็นคดีความ กับรัฐบาลสยาม เนื่องจากได้ถูกทหารสยามทำร้ายร่างกาย เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ นายจอห์น บาเรตท์ ราชทูตสหรัฐในเมืองบางกอก ได้ยื่นหนังสือขึ้นร้องต่อสมเด็จฯกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีต่างประเทศ ขอให้พิจารณาสอบสวนคดีนี้โดยตั้งคณะอนุญาโตตุลาการผสม ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายสหรัฐและฝ่ายสยามขึ้นพิจารณาคดี โดยทางฝ่ายสยามได้แต่งตั้งนายปิแอร์ โอร์ต ผู้ช่วยที่ปรึกษากฏหมายยชาวเบลเยี่ยมที่เข้ามารับราชการในสยามขณะนั้นให้เดินทางไปทำหน้าที่พิจารณาคดีร่วมกับนายจอห์น บาเรตท์ ราชทูตสหรัฐที่เมืองเชียงใหม่ นายปิแอร์ โอร์ต และนายจอห์น บาเรตท์ ออกเดินทางจากบางกอกเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2440 โดย ทางเรือขึ้นมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านเมืองชัยนาท ปากน้ำโพขึ้นมาตามลำน้ำปิง ผ่านกำแพงเพชร เมืองตาก จนมาถึงเมืองเชียงใหม่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทั้งสองได้ร่วมกันพิจารณาคดีโดยเบิกพยานทั้งสองฝ่ายมาให้การโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2440 จนกระทั่งถึงวันที่ 20 กันยายน การพิจารณาคดีก็เสร็จสิ้นลง และได้ลงนามในคำพิพากษาลงโทษทหารที่ทำร้ายรองกงศุลสหรัฐลดหลั่นกันตามความเหมาะสม[2]
หลังจากที่พิจารณาคดีนี้กำลังจะแล้วเสร็จ นายปิแอร์ โอร์ต ก็ได้รับคำบัญชาจากพระยาอภัยราชา(โรลัง ยัคมินส์) (Gustave Rolin-Jaequemyns) ชาวเบลเยียม ที่ปรึกษาราชการทั่วไปในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2378-2444)  ให้ออกเดินทางไปเยี่ยมหัวเมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งสร้างความยินดีให้กับปิแอร์ เป็นอย่างมาก ปิแอร์ โอร์ต ออกเดินทางไปเยี่ยมหัวเมืองต่าง ๆ เริ่มจากเมืองลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน ซึ่งขณะนั้นรวมเป็นมณฑลลาวเฉียง(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมลฑลพายัพ) การเดินทางในครั้งนั้นใช้เวลานานหลายเดือน โดยปิแอร์ ใช้วิธีการเดินทางด้วยการนั่งช้าง ขี่ม้าและเดินเท้า เมื่อไปถึงเมืองใด ปิแอร์ก็จะหารือข้อราชการกับข้าหลวงถึงปัญหาต่าง ๆ ถ้าเรื่องไหนเห็นว่าสามารถแก้ไขได้ก็จะแนะนำให้ข้าหลวงดำเนินการโดยทันที หลังจากที่ออกเดินทางจากเมืองน่านแล้ว เขาได้เดินทางไปถึงเมืองปากสายริมแม่น้ำโขง แล้วล่องแพไปตามลำน้ำจนถึงเมืองเวียงจันทน์ จากนั้นก็ใช้แพเดินทางล่องลงมาจนถึงเมืองหนองคาย ผ่านเมืองหมากแข็ง หรือ จังหวัดอุดรธานี จนมาถึงเมืองโคราช ผ่านดงพญาไฟและมาขึ้นรถไฟที่หมู่บ้านหินลังในเขตจังหวัดสระบุรี ก่อนที่จะเข้าสู่เมืองบางกอก โดยปิแอร์ โอร์ต ได้ใช้เวลาในการเดินทางเยี่ยมหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดนานถึง 5 เดือนเต็ม
ในระหว่างการเดินทาง ปิแอร์ โอร์ต ได้เขียนบันทึกเรื่องราวต่างที่เข้าได้ประสพพบเจอไว้ โดยบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของภาคเหนือและประเทศสยามเมื่อ 100 ปีก่อน ดังกล่าว ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติกรุงบรัสเซลล์ ซึ่ง พิษณุ จันทร์วิทัน ได้แปลจากบันทึกต้นฉบับออกมาเป็นหนังสือชื่อ “ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง
            บันทึกของ ปิแอร์ โอร์ต ในหนังสือ ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง ได้เล่าถึงการเดินทาง ขณะที่เขาเดินทางจากพะเยาผ่านมาถึงเมืองพานในวันที่ 8 ตุลาคม  พ.ศ.2440 เวลาบ่ายสามโมงและได้พักค้างแรมที่วัดแห่งหนึ่ง เขาได้บันทึกถึงเมืองพานตอนหนึ่งว่า..
                “..เมืองพานเป็นเมืองสำคัญขึ้นอยู่กับลำพูน ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากอาณาเขตเมืองน่าน เรื่องนี้จะเป็นการสมเหตุสมหรือไม่ที่จะย้ายเมืองพานไปขึ้นกับเชียงราย ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในกรณีมีผู้ร้ายหลบหนีเข้าไปอยู่ในเขตเมืองพาน ข้าหลวงเชียงรายก็ไม่มีอำนาจจัดการใดๆ เพราะจะต้องแจ้งไปที่ลำพูนซึ่งอยู่ห่างจากเชียงราย 8-9 วันเสียก่อน..” [3]
            จากบันทึกของปิแอร์ โอร์ต์ ทำให้เราทราบได้ว่าเมืองพานเมื่อศตวรรษที่ผ่าน ถึงแม้จะมีอาณาเขตติดต่อกับเชียงราย แต่การปกครองก็มิได้ขึ้นตรงต่อเชียงรายแต่อย่างได เข้าใจว่าปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นผลพวงมาจากการอพยพผู้คนเจ้าสู่เมืองพานในช่วงยุค “เก็บพักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” ภายหลังจากการ “ฟื้นม่าน”(พม่า) ออกจากล้านนาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปรากฏหลักฐานทางเอกสารหลายฉบับว่า มีการอพยพผู้คนจากเมืองลำพูนเข้าสู่เมืองพาน และการปกครองในสมัยนั้น อาจเป็นไปได้ว่าผู้ถูกเกณฑ์หรืออพยพให้มาตั้งถิ่นฐานในที่ใดต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเดิม ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากความต้องการของชนชั้นปกครองที่ต้องการจัดสรรทรัพยากรในท้องถิ่นที่ราษฎรของตนเองมาตั้งถิ่นฐานอยู่
            ภายหลังจากที่รัฐสยามส่ง ข้าหลวงจากส่วนกลางเข้ามาดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ(เชียงใหม่) ในปี พ.ศ.2417 ระบบการปกครองท้องถิ่นในฐานะประเทศราชของรัฐสยาม ที่เคยให้อำนาจโดยตรงแก่เจ้าผู้ครองนคร ก็เปลี่ยนแปลงไป อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินถูกแทรกแซงโดยข้าหลวงจากส่วนกลาง แต่งตั้งเจ้าเมืองเข้าปฏิบัติราชการแทนเจ้าผู้ครองนคร (เรียกกันว่าเจ้าหลวง) ซึ่งต่อมาเรียกระบบนี้ว่า “เทศาภิบาล”   บันทึกของปิแอร์ โอร์ต์ ให้ภาพระบบการปกครองท้องถิ่นในมณฑลลาวเฉียง[4] ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยยกกรณีของเมืองเชียงใหม่ว่า ...เมืองเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 11หัวเมืองย่อย หนึ่งในนั้นประกอบไปด้วยเมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสน (ไม่ปรากฏว่ามี เมืองพาน-ผู้เขียน)แต่ละหัวเมืองย่อยจะแบ่งเป็นแขวงหรือหมู่บ้าน แต่ละแขวงก็จะมีหมู่บ้านเป็นกลุ่มๆ แต่ละหัวเมืองจะมีเจ้าเมืองแต่งตั้งโดยเจ้าเมืองใหญ่(เจ้าเมืองเชียงใหม่-ผู้เขียน) โดยการเห็นชอบจากข้าหลวงใหญ่ฯ ในกรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันในการเลือก เจ้าเมืองบางกอกจะเป็นผู้ตัดสิน เจ้าเมืองทุกคนมียศเป็นพญา
          แต่ละแขวงมีหัวหน้าแขวงเป็นขุน ซึ่งพญาเมืองเป็นผู้แต่งตั้ง แต่ละหมู่บ้านมีแก่บ้านแต่งตั้งโดยพญาเมือง หัวหน้าแขวงจะแต่งตั้งโดยเจ้าผู้ครองนคร แขวงต่างๆแบ่งย่อยเป็นหมู่บ้านมีหัวหน้าแต่งตั้งโดย แคว่น พญาเมืองและแคว่นจะรายงานตรงกับกรมมหาดไทย ทั้งแคว่นและพญาเมืองมีความสำคัญพอๆกัน หัวหน้าแขวงหลายคนมียศเป็นพญาเช่นเดียวกับพญาเมือง บางแขวงเรียกกันว่าเมือง ในกรณีเป็นแขวงที่ค่อนข้างมีความสำคัญทั้งหมดนี้ค่อนข้างจะวางไว้อย่างไม่สู่ชัดเจน จนดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าแขวงและเมืองแตกต่างกันหรือสำคัญกว่ากันอย่างไร..”[5]
            ในกรณีของเมืองพานนั้น ปิแอร์ โอร์ต์ ได้บันทึกไว้ว่าเป็นเมืองสำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ปกครองเมืองพานมีตำแหน่งเป็น “พญา” คือ พญาไชยชนะสงคราม( พ.ศ.2438-2474) ซึ่งเป็น พ่อเมืองคนสุดท้าย ก่อนที่ “หลวงศุภการกำจร” ข้าราชการจากส่วนกลางจะเข้ามารับตำแหน่งนายอำเภอคนแรกในปี พ.ศ.2458 แต่อย่างไรก็ตามในเอกสารแผนที่จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) ปรากฏคำว่า “แขวงเมืองพาน” ซึ่งมีที่ทำการแขวงอยู่ที่บ้านฝั่งตื่น
            การจัดการปกครองแบบมลฑลเทศาภิบาล ตามระเบียบการปกครองมณฑลพายัพ ร.ศ.119 (พ.ศ.2443) ให้ใช้ระเบียบการปกครองท้องที่ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.116(พ.ศ.2440) ทุกมาตรา เพียงแต่ให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งต่างๆเป็นภาษาพื้นเมืองเพื่อให้ราษฏรเข้าได้ง่าย เช่น ผู้ว่าราชการเมือง เป็นเค้าสนามหลวง อำเภอเป็น แขวง กำนันเป็น แคว่น ผู้ใหญ่บ้านเป็น แก่บ้าน ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ในเอกสารจากหอจดหมายเหตุ จึง มีการใช้คำว่า “แขวงเมืองพาน” ปรากฏอยู่แทนที่จะเรียกว่า “อำเภอเมืองพาน” ซึ่งแต่ละแขวงจะมี กรมการแขวง ประกอบด้วยนายแขวง รองนายแขวง จำนวน 1-2 คนและสมุหบัญชี หน้าที่ของกรมการแขวงคือรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องที่ และจัดเก็บภาษี ในส่วนของนายแขวงนั้น มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นข้าราชการไทยจากส่วนกลางเท่านั้น[6] แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยนั้นแขวงเมืองพานกลับไม่ปรากฏว่า มีนายแขวงซึ่งเป็นข้าราชการจากส่วนกลางเข้ามาประจำการแต่อย่างใด เพราะมีหลักฐานว่าข้าราชการจากส่วนกลางที่เข้ามาประจำการเป็นนายอำเภอครั้งแรกในเมืองพานคือ หลวงศุภการกำจร ในปี พ.ศ 2458 ตามที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น
            เป็นไปได้ว่า ในช่วงระยะแรกของการตั้ง “แขวงเมืองพาน” ขึ้นนั้น ลักษณะการปกครองคงจะยึดตามรูปแบบเดิมคือ ระบบกินเมือง โดยให้ พญาไชยชนะสงคราม ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองในตำแหน่ง “พ่อเมือง” ทำหน้าที่นายแขวง เพราะปรากฏว่าที่ทำการแขวงเองก็ได้ย้ายจากศูนย์กลางเมืองพานในปัจจุบัน ไปอยู่บ้านฝั่งตื่น ซึ่งเป็นบ้านของพญาไชยชนะสงคราม ในระยะแรกนั้นพบว่าจำนวนแขวงมีน้อย และแต่ละแขวงจำต้องแบ่งอาณาเขตให้กว้างขวาง เพื่อให้สอดรับกับจำนวนนายแขวงจากส่วนกลางที่มีอย่างจำกัด ขณะนั้นพบว่าในเขตหัวเมืองชั้นในของนครเชียงใหม่มีเพียง 6 แขวง เท่านั้น[7]
น่าเสียดายว่าบันทึกของปิแอร์ โอร์ต ไม่ได้ให้ข้อมูลภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองพานในช่วงเวลานั้นไว้ แต่ก็นับว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ให้ข้อมูลการปกครองของเมืองพานในศตวรรษที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ.2475 มีการยกเลิศระบบเทศาภิบาล เมืองพานจึงถูกผนวกเข้าเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงรายในที่สุด
           


[1] ประสิทธิ์ พงศ์อุดม,  ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในเชียงใหม่, หน่วยงานจดหมายเหตุประวัติศาสตร์และวิจัย สภาคริสตจักรในประเทศไทย,(มปท.มปพ.)หน้า,13
[2]ดูรายละเอียดใน, พิษณุ จันทร์วิทัน (แปล),ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง,
[3] พิษณุ จันทร์วิทัน (แปล),ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง, พิมพ์ครั้งที่ 2 ( กรุงเทพฯ: แปลน พริ้นท์ติ้ง, 2539) หน้า 136.
[4] มณฑลลาวเฉียง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น มะวันตกเฉียงเหนือ และภายหลังเปลี่ยเป็นมณฑลพายัพ ประกอบไปด้วย 6 เมือง คือ นครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และเมืองเถิน
[5] อ้างแล้ว,หน้า 94-95.
[6] สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาตร์ล้านนา, พิมพ์ครั้งที่ 7 ( กรุงเทพ: อมรินทร์,2553) หน้า 454-455.
[7] อ้างแล้ว, หน้าเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น