วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดอยด้วน…


ดอยด้วน
  หนานปั๋น

             
                                                                                                     
ฝ้ายคำ ออกดอกเหลืองสะพรั่งทั่วทั้งลำต้น สลัดใบรูปหัวใจสีเขียว ให้หายไปจากกิ่งก้านของมัน แต่ยังคงมองเห็นผลแก่ๆสีขาวปนน้ำตาลอยู่เป็นกระจุกๆ  เปลวแดดหน้าแล้งหลังออกพรรษายังคงร้อนระอุ หากงามตานักยามเมื่อฝ้ายคำที่ยืนต้นสูงชะลูดกระทบกายกับ แสงสีทองที่สาดส่องจากเบื้องบนลงมาสู่พื้นดิน ฝ้ายคำ เป็นชื่อต้นไม้ผลัดใบขนาด เล็กชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลืองเกือบทั่วทั้งปี มีผลกลม เมื่อแก่จัดจะ แตกเป็นปุยสีขาวเหมือนฝ้าย ชาวบ้านจึงเรียกว่า ดอกฝ้ายคำ
                ปีนี้….ฝ้ายคำต้นเล็กที่หน้าบ้านผม ดูสูงชะลูดโตขึ้นกว่าเดิม ดอกเก็ดถะหวา ดอกด้าย และดอกฝ้ายคำ เป็นเพียงไม่กี่รายชื่อของพันธุ์ไม้ดอกพื้นเมือง ที่ชาวล้านนานิยมนำมาปลูกในบ้านเพื่อนำดอกไป บูชาพระในวันศีลวันธัมม์
                เสียดาย..วันออกพรรษาที่ผ่านมาผมมิได้เด็ดดอกฝ้ายคำ สีเหลืองสดไปบูชาพระ คิดกลับกันมันคงจะเป็นการดีกว่าหากปล่อย ให้มันออกดอกอวดโฉมประดับโลกอยู่เช่นนี้   จนกว่าดอกของมันจะโรยราคาต้นไปเองตามธรรมชาติ เพราะการบูชาที่แท้จริงตามหลักธรรมพุทธศาสนานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอามิสบูชา หรือการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของเสมอไป หากแต่เป็นปฏิบัติบูชาคือการบูชาด้วยการปฏิบัติธรรม ถ้าธรรมะคือธรรมชาติดั่งที่หลายคนพูดกัน การปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมชาติจึงน่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด
ธรรมชาติสร้างความสมดุลให้แก่ทุกชีวิตในโลกใบนี้อย่างลงตัวและเท่าเทียมกันอยู่แล้ว มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหาก เทียบกับโลกและจักรวาลอันยิ่งให­ญ่ แต่มนุษย์กลับแสดงแสนยานุภาพประกาศอำนาจเหนือธรรมชาติอยู่ทุกขณะ
                ผมนั่งดูดอกฝ้ายคำอยู่นาน จิตนาการมองออกไปยังเทือก เขาสูงลิบลิ่วที่เห็นทะมึนอยู่ด้านหน้า เมื่อใช้สายตากระโดดเลยข้ามทุ่งนาหลังบ้านออกไป สีเหลืองของดอกฝ้ายคำมันช่างตัดกับสีที่ดูดำทึบของประติมากรรมธรรมชาติ   อันแลเห็นอยู่ไกลลิบ จนรู้สึกขัดตาในความแตกต่าง หากแต่ความงามยังบังเกิดขึ้นเสมอ...
                ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกก็เห็นดอยลูกนี้นอนเหยียดยาวโดย ที่ไม่ลุกไปไหนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว และคงจะนานกว่าหลาย ๆ ชั่ว อายุคนบนโลกใบนี้เสียอีก...

ดอยด้วน  ดอยหัวง้ม ดอยชมพู ภูยาว หรือ ผายาว ล้วนแต่เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานประติมากรรมของธรรมชาติชิ้นนี้ดอยด้วนเป็นภูเขาหินทรายที่ทอดตัวนอนยาวตามแนวเหนือใต้     ครอบคลุมอาณาบริเวณสองจังหวัดคือเชียงรายและพะเยา      ทางด้านทิศเหนือติดกับเขตอำเภอแม่ลาวและอำเภอพานจังหวัดเชียงราย ทิศใต้ติดกับอำเภอแม่ใจจังหวัดพะเยา จากลักษณะทางกายภาพของดอยแห่งนี้เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ภูกามยาว และ พะเยา ในปัจจุบัน          
ขี้ไถปู่หละหึ่ง มักจะเป็นคำตอบในวัยเด็กเกี่ยวกับการถือกำเนิดขึ้นของภูเขาดงดอยต่างๆรวมไปถึงดอยด้วน  นึกถึงเรื่องราวที่ อุ้ยเคยเล่าทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากถามว่าดอยที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้เกิด ขึ้นมาได้อย่างไร ...ก็จะได้รับคำตอบว่า..
              เมินนานมาแล้ว..ก่อนที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก และผืนแผ่นดินยังราบเรียบเสมอกัน ยังมีชายคนหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์กว่ามนุษย์ปัจจุบันหลายร้อยหลายพันเท่ามีนาม  ว่าปู่หละหึ่งปู่หละหึ่งมีอาชีพทำไร่ทำนาบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นที่นาของปู่หละหึ่ง ทั้งหมด แต่ละปีปู่หละหึ่งจะปลูกข้าวกล้าและไถนาทิ้งไว้
 ปู่หละหึ่งมีเพื่อนสนิทที่มีรูปร่างใหญ่โตพอๆกันอยู่คนหนึ่งชื่อว่า อ้ายโง้มฟ้า”  และมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ สำหรับอ้ายโง้มฟ้านั้น เวลายืนจะต้อง(โง้ม)หรือก้มหัวตลอดเวลา เพราะความสูงของแก่ แม้แต่หัวยังจรดถึงฟ้า
                ด้วยภารกิจที่ใหญ่โต ปู่หละหึ่งจึงไถนาของตนเองไม่เสร็จสักที ปู่หละหึ่งจึงไปขออ้ายโง้มฟ้ามาช่วยทำนา ว่ากันว่าถ้าทั้งสอง คนเดินไปทางไหน ถ้ามีคนพบรอยเท้าข้างหนึ่ง(ไม่ว่าซ้ายหรือขวา) หากเดินไปเรื่อยๆต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี จึงจะพบรอยเท้าอีกข้างหนึ่ง แสดงว่าปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้านั้นคงจะมีร่างกายใหญ่โตมิใช่น้อยๆ อีกอย่างหนึ่งควายที่ปู่หละหึ่งใช้ไถนานั้น เป็นควายที่ตัวใหญ่เขาโง้ม เวลาไถนาเขาควายปู่หละหึ่งจะครืดฟ้าดังครืนๆ               
ปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้าทั้งสองคนช่วยกันทำไร่ไถนาปี แล้วปีเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสิ้นสักที จนเวลาผ่านไปล่วงเลยมาถึง ยุคของมนุษย์คนเราเสียก่อน ด้วยเหตุดังนี้บริเวณที่เป็นภูเขาหรือ เทือกเขาที่เห็นสลับซับซ้อนทั่วไปในภาคเหนือรวมไปถึง ดอยด้วน ที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จึงเป็นขี้ไถของปู่หละหึ่งและอ้ายโง้มฟ้า ที่ไถค้างไว้นั่นเอง
                เรื่องราวของปู่หละหึ่งกับอ้ายโง้มฟ้ายังตรึงตราอยู่ในห้วงจิตนาการผมอยู่เสมอ ทุกครั้งที่สายตาทอดมองไปยังขุนเขาและดงดอยต่างๆ ถึงแม้ว่าโตขึ้นมาจะรู้ว่าเป็นนิทานปรัมปราที่ผู้ใหญ่มักจะแต่งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเพราะทดความเซ้าซี้กับคำถามของเด็กๆ ไม่ไหว แต่มันก็เป็นคำอธิบายชุดหนึ่งที่สามารถตอบคำถามในยุคๆ หนึ่งได้ว่า สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่รอบตัวเรานั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สะท้อนถึงภูมิปัญญาและพัฒนาการทางสังคมของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แม้ว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะไม่รองรับคำอธิบายดังกล่าวก็ตาม
                การสร้างตำนานให้สอดคล้องกับภูมิประเทศปรากฏให้เห็น อย่างเด่นชัดในสังคมล้านนา เรื่องราวของดอยด้วนมีการกล่าวถึงใน ตำนานและพงศาวดารต่างๆ อีก เช่น ในตำนานเมืองพะเยาและใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ กล่าวถึงดอยด้วนว่าเป็นสถานที่ๆพ­ญางำเมืองกษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งเมืองพะเยา เมื่ออายุ ๑๔ ปี ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาการกับฤๅษีที่ดอยด้วนแห่งนี้  และก่อนหน้านั้นขุนจอมธรรมก็อพยพผู้คนมาสร้างอาณาจักรบริเวณปลายดอยด้วน ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมในการสร้างบ้านแปงเมืองจนเกิดเมืองพะเยา ขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ เราคงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเรื่องราวอันปรากฏในตำนานที่ บรรพบุรุษบันทึกไว้จะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่แต่ประการใด แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกได้ก็คือ ดอยด้วนคงมีความสำคั­ญ ต่ออาณาจักรภูกามยาวอย่างไม่มากก็น้อย
ความสำคั­ญของดอยด้วนคงมิใช่แค่มีปรากฏในตำนานหรือ เรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมาอย่างมิรู้จบเท่านั้น หากแต่ดอยด้วนเป็นภูเขาหินทรายที่เป็นแหล่งวัตุดิบสำคัญ­ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ ของถิ่น ภูกามยาวมาแต่ครั้งบรรพกาล     
                วัฒนธรรมการใช้หินของมวลมนุษยชาติปรากฏขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หากแต่รูปแบบและลักษณะชนิดของหินที่นำมาใช้นั้นจะแต่ต่างกันไปตามแต่ล่ะภูมิประเทศและทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น
                หิน (Rock) คือของแข็งที่ประกอบกันเป็นเปลือกโลกทั้ง หมด เป็นส่วนประกอบของอินทรียวัตถุ ที่ประกอบด้วยแร่ตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไป แต่บางครั้งอาจจะมีแร่เพียงชนิดเดียวได้ เช่น ควอทซ์ หรือ ยิปซัม เป็นต้น หินแบ่งออกเป็น ๓ ชนิดคือ หินอัคนี หินชั้น และหินแปร


หินทราย เป็นหินชั้นชนิดหนึ่งเป็นหินที่มีรูพรุนซึ่งเกิดจากเม็ด ทรายผนึกติดกันด้วยสารซิลิกา  หรือสานอื่นๆเช่น ออกไซด์ของเหล็ก ดินเหนียวหรือแคลไซท์ และ ควอทซ์ หินทรายมีหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นหินที่แกะสลักได้ง่าย ขณะขุดขึ้นมาจากเหมืองใหม่ๆ ด้วยเนื้อหินยังชุ่มน้ำอยู่ ซึ่งน้ำในเนื้อหินทรายจะเต็มไปด้วยแร่ธาตุและสารต่างๆละลายอยู่ แต่ถ้าก้อนหินนี้ถูกอากาศนานเข้า ความชื้นในเนื้อหินจะ ค่อยๆระเหยไปเหลือแต่ธาตุต่างๆ มีผลให้ช่วยกันจับยึดเนื้อหินจน แข็งตัว  หินทรายเมื่อนำมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือแว่นขยาย จะเห็นเป็นเม็ดทรายเล็กๆ ซึ่งมีตัวประสานเม็ดทราย ตัวประสานนี้ จะผสานซิลิกาเข้าด้วยกัน ตามแร่ควอทซ์จะไม่มีสี   หินทรายมีสีก็เพราะตัวประสาน  มีสารประกอบที่มีสีต่างๆ เช่น หินทรายแดงและ หินทรายเขียวเป็นต้นเนื้อของหินทรายจะมีความหยาบและ ละเอียดไม่เท่ากันหินทรายที่ละเอียดมากที่สุดคือหินดินดาน ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ของเม็ดทรายต่ำกว่า ๑/๑๐ ม..ลงมา ส่วนหินทรายมีเส้นผ่าศูนย์ กลาง ๑/๑๐๒ ม..ส่วนพวกที่มีเม็ดทราย เส้นผ่าศูนย์กลางมาก กว่า  ๒ ม..เรียกว่า Conglomerates คือมีทรายเม็ดใหญ่พวกกรวด ปนกับทรายเม็ดเล็ก ภูเขาหินทรายลวดมักจะเรียวเป็นเส้นตรง เป็นที่ราบกว้าง ให­ญ่เพราะหินทราย นั้นอัดตัวทีละชั้น
                 ความนิยมในการใช้หินทรายนั้น ปรากฏให้เห็นในอารยธรรมของมนุษย์มาเป็นเป็นเวลาช้านาน สิ่งก่อสร้างโบราณที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้งยุคต้น ยุคกลาง  ยุคปัจจุบัน หลายชิ้นก็ทำมาจากหินทราย เช่น มหาปิรามิดคีออปส์ ในอียิปต์ก็สร้างจากหินทราย  หรือแม้แต่สนามกีฬากรุงโรม ปราสาทหินนครวัด-นครธม ในกัมพูชาก็ล้วนแต่สร้างจากหินทราย
                หินทรายสำหรับประติมากรชาวอเมริกันนิยมมาใช้ได้แก่ หินทรายสีน้ำตาล  หินทรายแอมเฮอร์ส และหินดันวิลล์ ส่วนหิน ทรายในแถบวัฒนธรรมตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้การแกะ สลักประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม(เทวสถาน,พุทธสถาน) ได้ แก่หินทรายออกทางสีชมพู สีเขียว และสีน้ำตาล

  
สงแดดส่องผ่านก้อนเมฆกระทบกับแนวเขาที่ทอดตัวนอนยาวขนานไปกับผืนดิน สว่างบ้างมืดบ้าง เนื่องด้วยแสงแดดจากเบื้องบนส่องลงมาไม่ถึง ป่าแพะตีนดอยแลเห็นผู้คนเดินลงมากันเป็นแถวตามเส้นทางเลียบสันเขา มองในระยะไกลคงไม่ต่างจากแถวมดแดงที่เดินจูงหนวดกันกลับคืนสู่รัง....ที่พร้อมกับสิ่งของเล็กๆน้อย อันจะกลายเป็นอาหารมื้อค่ำที่ธรรมชาติแบ่งปันให้  ป่าแพะตีนดอยด้วนแห่งนี้จึงเปรียบดั่ง เซเว่น อีเลฟเว่น ของชาวบ้านที่มีของทุกอย่างให้เลือกสรร ยามเห็ดมีเห็ด ยามหน่อมีหน่อ  วิถีชีวิตของคนผู้ส่วนใหญ่จึงผูกพันกับ    ดิน  น้ำ  ป่า เขา ไม่รีบร้อนดิ้นรน เหมือนคนในเมือง
                ความอุดมสมบรูณ์ของดอยด้วน  ได้หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ตีนดอย มาช้านานนัก ดอยด้วนเป็นต้นกำเนิดของ น้ำแม่ปืม ลำห้วยสายเล็กๆที่ไหลลงดอย เข้าสู่หมู่บ้าน  เป็นทั้งน้ำกินและน้ำใช้  เมื่อมีน้ำ สรรพชีวิตก็ย่อมถือกำเนิดขึ้นการดำรงอยู่ของสังคมจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งจึงได้สร้างสรรค์และก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณี อันแสดงถึงความ ผูกพันระหว่างชาวบ้านกับประติมากรรมของธรรมชาติ แห่งนี้
เรื่องราวของสิ่งเหนือธรรมชาติจึงถูกนำมาเชื่อมโยงผ่าน ระบบความเชื่อการนับถือเจ้าแห่งขุนเขาและสายน้ำ เป็นวาทกรรมที่ถูกกำหนดขึ้นโดยบรรพบุรุษ เพื่อใช้เป็นกฎเกณฑ์และกุศโลบาย ในการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมมิให้ล่วงละเมินต่อธรรมชาติ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าดอยด้วนแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอยู่ มี เจ้าพ่อดอยด้วน เป็นเก๊าเป็นเหง้าปกห่มชาวบ้านตีนดอยหื้อยู่ดีมีสุข ถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง จึงมีประเพณีดำหัวพ่อเจ้าดอยด้วนเกิดขึ้น ชาวบ้านจะมาช่วยกันจัดเตรียมงานอย่างพร้อมเพียงเรียงหน้า วัตถุดิบต่างๆที่จะต้องใช้ในงานถูกนำมาเปาะฮอมกัน..จึงถือว่าเป็นงานเลี้ยงสรรค์สันที่ยิ่งใหญ่ประจำหมู่บ้าน  อาจจะดูเป็นความเชื่อที่งมงายไร้สาระในสายตาของคนนอก  หากมันเป็นกิจกรรมทางสังคมที่หล่อหลอมและสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน        
                ไร้สิ้นสำเนียงเสียงขับขานของผู้คน... พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายเอียงกายลอยผ่านปุนเมฆไปอย่างเชื่องช้า วัฎจักรแห่งวันเวลา กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างมิย่อท้อ นกปิ๊ดตะลิวสองตัวบินมาเกาะกิ่งฝ้ายคำพร้อมกับขยับปีกไปมา เหมือนมันจะให้สั­­ญญาว่าจะอยู่ดูแลกันและกันไปจนวันตาย   ณ  บรรพตหินทรายแห่งนี้ ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น