วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พ่อค้าวัวต่าง



พ่อค้าวัวต่าง
กฤษฎา  พรหมปาลิต




พ่อค้าวัวต่างเป็นพ่อค้าในระดับท้องถิ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทางด้านเกษตรกรรม การทำไร่ทำนา และประกอบการค้าขายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว พ่อค้าวัวต่างส่วนมากทำนาเองและเดินทางค้าขายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ในเมืองพานได้มีการกล่าวถึงพ่อค้าวัวต่างค่อนข้างแพร่หลายเนื่องจากเมืองพานเป็นจุดหลักจุดหนึ่งของการเดินทางค้าขายของพ่อค้าวัวต่าง จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองพานเล่าว่า การค้าขายของพ่อค้าวัวต่างจะเดินทางมาที่เมืองพาน ในช่วงประมาณเดือนห้า เดือนหก (เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม) [1] การเดินทางของพ่อค้าวัวต่างจะมีเอกลักษณ์ที่คนในหมู่บ้านจะทราบทันทีว่ามีคณะพ่อค้าวัวต่างมาถึง คือ เสียงของ”ห้อกวัว”(กระดิ่งไม้ที่คอวัว) ซึ่งจะส่งเสียงดังให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ยินเมือคนในหมู่บ้านได้ยินก็จะออกมาซื้อขายสินค้าที่พ่อค้านำมาขาย           
                  
          เส้นทางการค้าขายของพ่อค้าวัวต่างในเมืองพาน มีการกล่าวถึงว่าอาจใช้เส้นทางท่าอิฐ - พะเยา - เชียงราย  พ่อค้าวัวต่างในเขตอำเภอต่างๆของจังหวัดพะเยาและเชียงราย ได้มาซื้อสินค้าจากท่าอิฐ ที่อุตรดิตถ์ พ่อค้าเหล่านี้อาจมาจากอำเภอพาน  ปง  ปัว  เทิง  เชียงคำ เชียงม่วน เชียงของ ฯลฯ สินค้าที่พ่อค้าวัวต่างนำมาส่วนมากเป็นผลิตผลในท้องถิ่น เช่น พ่อค้าในอำเภอพาน ซื้อพริก ฝ้าย หวาย ผ้าทอ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ผลมะแค่น นำไปขายยังหมู่บ้านต่างๆที่ผ่านไปยังท่าอิฐ แล้วซื้อผ้า ปลาร้า ปลาแห้ง เกลือ ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด นำไปขายยังเมืองพาน  และที่ตำบลบ่อเกลือเหนือ  บ่อเกลือใต้  อำเภอปัว จังหวัดน่าน มีเกลือสินเธาว์ พ่อค้าวัวต่างจากเมืองพานได้มาซื้อเกลือสินเธาว์ที่อำเภอปัวกลับไปขาย[2]
          ในการเดินทางค้าขายของคาราวานพ่อค้าวัวต่าง จะมีผู้นำหรือเจ้าของคาราวาน เรียกว่า “นายฮ้อย” นายฮ้อยจะเป็นผู้นำในการเดินทางไปค้าขายยังที่ต่างๆ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ได้กล่าวถึงลักษณะบุคลิกของนายฮ้อยว่า นายฮ้อยจะสะพายดาบ ใส่รองเท้าหนัง ดูมีฐานะ ชาวบ้านทั่วไปจึงนิยมที่จะกล่าวถึงตัวนายฮ้อยว่าเป็นคนมั่งมี(คนรวย) สาวชาวบ้านหลายคนที่นายฮ้อยถูกใจก็มักจะมาพักอยู่ด้วยหากเดินทางผ่านมาค้าขายและทัศนคติของชาวบ้านทั่วไปก็เห็นดีด้วยที่สาวชาวบ้านได้นายฮ้อยเป็นสามี ดังคำกล่าวเล่าลือในช่วงที่มีนายฮ้อยมาได้คนในหมู่บ้านเป็นเมีย “เปิ้ลได้ผัวเป๋นนายฮ้อย บ่เด๋วเปิ้ลร่ำเปิ้ลรวยขนาด”[3] ฐานะทางสังคมในสมัยนั้นของนายฮ้อยก็เหมือนกับนักธุรกิจหรือพ่อเลี้ยงในสังคมเมืองปัจจุบัน
          หลังจากมีการพัฒนาระบบการคมนาคมในภาคเหนือ ในเขตพื้นที่อำเภอพานได้มีถนนสายหลักตัดผ่านตัวอำเภอละมีถนนหลายสายเข้าสู่หมู่บ้านทำให้การขนส่งสินค้าต่างๆเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบการขนส่ง คือจากเส้นทางเดิมที่พ่อค้าวัวต่างจะใช้เส้นทางผ่านภูเขา มาเป็นถนนที่สร้างขึ้นใหม่แทน และรูปแบบการขนส่งจากที่ใช้วัวต่างก็จะเปลี่ยนมาใช้รถขนส่งแทน เนื่องจากรถ ขนส่งได้มากกว่า เร็วกว่า และการเดินทางแต่ละครั้งจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ทำให้อาชีพพ่อค้าวัวต่างที่ผ่านมาทางเมืองพานค่อยๆหายไปจากสังคมและหมดไปในที่สุด เหลือเพียงแต่คำบอกเล่าของ ปู่ ย่า ตา ยาย ถึงเส้นทางที่เคยเป็นเส้นทางของพ่อค้าวัวต่าง และมนต์เสน่ห์ของตลาดนัดเคลื่อนที่ของคนสมัยก่อนซึ่งไม่มีให้คนสมัยปัจจุบันได้เห็นอีก สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นการพัฒนาของสังคม ของเมือง ของประเทศ ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธการพัฒนาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่กับสังคมของเราต่อไปคือความทรงจำของเส้นทางการค้าขายในหมู่บ้านภาคเหนือ ที่ทุกคนในสังคมต่างเรียกกันว่า “พ่อค้าวัวต่าง”




[1]  สัมภาษณ์ คุณยายทับทิม  พรหมปาลิต  ตำบลเมืองพาน  อำเภอพาน  จังหวัดเชียงราย
[2] ชูสิทธิ์  ชูชาติ รายงานการวิจัยเรื่อง พ่อค้าวัวต่าง  ทุนอุดหนุนการวิจัย จาก กรมการฝึกหัดครู พิมพ์ครั้งที่ 1  หน้า 48
[3] สัมภาษณ์ คุณยายทับทิม  พรหมปาลิต  (อ้างอิงแล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น