
๑.
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
เมืองพานเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย
แทรกตัวอยู่ในพื้นที่ซึ่งนักภูมิศาสตร์เรียกว่า “แอ่งเชียงราย” แอ่งเชียงรายได้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ทางตอนเหนืออันเป็นที่ราบลุ่มน้ำกกและทางตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอิง
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาตะวันตก[๑]
อาจจะกล่าวได้ว่าเมืองพานอยู่แอ่งเชียงรายทางตอนกลาง เนื่องจากว่าเป็นรอยต่อระหว่างเขตจังหวัดพะเยาและเชียงราย
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเมืองพานนั้นเป็นที่ราบลุ่ม ปฐพีสัณฐานเป็นสภาพพื้นที่ราบเรียบหรือเกือบราบเรียบ
เนื่องจากการสะสมตัวของตะกอนลำน้ำที่พัดพามาทั้งระยะใกล้และระยะไกลจึ่งมีเนื้อดินแตกต่างกันมาทั้งดินทรายและดินเหนียวสลับกัน
ส่วนใหญ่เป็นดินลึกมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการเพาะปลูก[๒]
ปัจจัยที่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปลงเมืองดังกล่าว
จึงเป็นจุดหนึ่งที่ดึงดูดผู้คนให้มาตั้งหลักแหล่งในดินแดนแห่งนี้อย่างไม่ขาดสายนับแต่ครั้งอดีต
หลักฐานการการอยู่อาศัยของผู้คน ในพื้นที่อำเภอพาน ปรากฏให้เห็นชัดจากโบราณวัตถุสถานต่างๆ
นับตั้งแต่เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
โบราณวัตถุที่ทำจากหินและโลหะปะเภทเหล็กและสำริด
ประติมากรรมเนื่องในพุทธศาสนาซึ่งแกะสลักจากหินทราย
และที่สำคัญได้ปรากฏร่องรอยของเวียงโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
เป็นหลักฐานการตั้งถิ่นฐานระระดับชุมชนหรือระดับเมืองอันแสดงถึงพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนขึ้น
หากอ้างถึงหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์ประเภทตำนาน
ที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในดินแดนแถบนี้แล้ว
การถือกำเนิดขึ้นของเวียงโบราณในลักษณะดังกล่าว
สันนิฐานว่าอาจจะมีมาก่อนสมัยการก่อตั้งอาณาจักรล้านนา[๓] เวียงโบราณเหล่านี้ได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในเขตพื้นที่อำเภอพาน เช่น เวียงอ้อย ในเขตตำบลทานตะวัน เวียงเชียงช้าง ในเขตตำบลเจริญเมือง[๔]
และเวียงห้าว ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ้านสันป่าหนาด ตำบลเวียงห้าว อำเภอพาน
จังหวัดเชียงราย
“เวียงห้าว”
เป็นภูมินามที่ชาวบ้านในเขตอำเภอพานรู้จักและเรียกขาน เป็นเวียงโบราณที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นเนินเขา
มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหัวดอยด้วน[๕]
ในการรับรู้ของชาวบ้านที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดังกล่าวปรากฏชื่อเรียกตามเรื่องเล่าพื้นถิ่นว่า
“เวียงห้าว” แต่ตามความเห็นของนักวิชาการท้องถิ่นมีข้อสันนิษฐานว่าเวียงโบราณแห่งนี้คือเวียง
“แช่พราน”[๖]
โดยได้อ้างเหตุการณ์จากหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ ที่กล่าวถึง
ขุนเจือง(พ.๑๗,กษัตริย์ลำดับที่ ๒ ถัดจากขุนจอมธรรม)
กษัตริย์แห่งอาณาจักรภูกามยาวได้ยกทัพไปช่วยขุนชินแห่งเมืองเงินยางเชียงแสน
ได้นำทัพผ่านมาในเขตพันนาคัว (๑ ใน ๓๖ พันนาของอาณาจักรภูกามยาว)
และได้จับพรานป่าล่าสัตว์ผู้หนึ่งมัดแช่น้ำไว้
บริเวณดังกล่าวจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองแช่พรานในเวลาต่อมา[๗] เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นนานหลายปี
ได้มีผู้คนมาจับจองพื้นที่อยู่อาศัยขึ้นบริเวณรอบคูน้ำคันดินดังกล่าวและได้ตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่าบ้านดงสันป่าหนาด
พร้อมกันนั้นได้ก่อตั้งวัดขึ้นเหนือเวียงโบราณดังกล่าว
บ้านสันป่าหนาดในปัจจุบันจึงได้กลายเป็นชุมชนเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆกับเชิงดอยด้วน
หากแต่ร่องรอยอารยธรรมของความเป็นชุมชนขนาดใหญ่ยังคงปรากฏให้เห็นเป็นเวียงโบราณที่มีคู่นำคันดินล้อมรอม
ขณะที่ศูนย์กลางของเมืองพานในปัจจุบันซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเวียงเก่า
กลับไม่พบร่องรอยของเวียงโบราณที่แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนแบบจารีตให้เห็นอยู่เลย
จึงทำให้สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของเมืองพานในปัจจุบัน ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
อาจจะเกิดขึ้นในสมัยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายหลังจากยุค “เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง”
ซึ่งชนชั้นนำในสมัยนั้นได้กวาดต้องผู้คนที่อยู่กระจัดกระจายตามหมู่บ้านต่างๆและจากที่อื่นมาตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่และได้กลายเป็นศูนย์การทางเศรษฐกิจสังคมและการปกครองในที่สุด
ข้อมูลที่กล่าวมาข้างตน เกิดจากความพยายามในการค้นหารากเหง้าและตัวตน
ของคนเมืองพาน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปี ที่ผ่านมา
ในระดับปัจเจกเช่น “อาจารย์อินทร์ สุใจ” อดีตศึกษานิเทศก์
ผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถิ่น และได้สังเคราะห์ข้อมูลจากการค้นคว้าเผยแพร่เรื่องราวประวัติศาสตร์เมืองพาน
ขึ้นมาจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกระแสหลัก หากแต่งานของ อาจารย์อินทร์
สุใจ
ส่วนใหญ่แล้วจะอ้างอิงถึงเฉพาะหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์ประเภทตำนานเป็นหลัก
โดยยังไม่ค่อยเคร่งครัดต่อการวิภาษณ์วิธีทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานประเภทตำนานมากนัก
และค่อนข้างจะละเลยหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะรวมถึงข้อมูลจากจารึกซึ่งเป็นหลักฐานร่วมสมัย
จึงทำให้การรับรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนของคนเมืองพาน
ยังค่อนข้างสับสนโดยเฉพาะเรื่องราวของเมืองพาน ที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับแหล่งโบราณคดีเวียงห้าว
ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นต้นกำเนิดของเมืองพาน
ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา
ศรัทธาชาวบ้านวัดสันป่าหนาดได้เตรียมการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่หลังหนึ่ง
โดยมีการขุดวางฐานรากขึ้นเหนือเนินดินที่ที่ตั้งของโบราณสถานเวียงห้าวปรากฏว่าได้ค้นพบอิฐมอญดินเผาทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และแตกหัก
รวมทั้งเศษกระเบื้องดินขอจำนวนมาก ที่สำคัญได้พบพระพุทธรูปที่ทำจากแก้วผลึก
ตะคันสำริด ที่มีลักษณะคล้ายพาน และคล้ายสถูปจำลอง ๓ ชิ้น
รวมทั้งเงินตราโบราณกำไลเงินและกำไรสำริด ซึ่งการค้นพบวัตถุโบราณดังกล่าวทำให้ชุมชนและนักวิชาการท้องถิ่นเกิดการตื่นตัวเพื่อที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนและค้นหารากเหง้าของตนเองขึ้น
ดังนั้น กระบวนการวิจัยในครั้งนี้ จึงตั้งปณิธานและพันธกิจไว้ว่า
การสืบค้นประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของท้องถิ่น
โดยการศึกษาจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในเขตเวียงโบราณ
ประกอบกับหลักฐานทางเอกสารประเภทจารึกและตำนานพงศาวดาร ภาพถ่ายเก่า
และหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ เช่นข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่จะสามารถเชื่อมโยงถึงแนวคิด
ทัศนคติ และความทรงจำร่วมของชุมชน ที่มีต่อพื้นที่อันเป็นแหล่งกำเนิดของตนเอง กระบวนการเหล่านี้น่าจะทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เมืองพานมีความกระจ่างและรัดกุมผูกมัดด้วยหลักฐานทางวิชาการมากยิ่งขึ้น
อันจะนำไปสู่กระบวนการสร้างความทรงจำร่วมให้กับชุมชน
รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น
เพื่อให้ชุมชนได้ตระหนักถึงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
อันจะเป็นรากฐานของการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นมีความเข็มแข็งและมั่นคงยิ่งขึ้นต่อไป
๒.
วัตถุประสงค์
๒.๑
เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ปรากฏอยู่ในเขตชุมชนโบราณเวียงห้าว
อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
๒.๒
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์มรดกวัฒนธรรม ระหว่างหลักฐานทางโบราณคดี
หลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฏกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
๒.๓ เพื่อสร้างชุดประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนโบราณเวียงห้าวและเมืองพานให้ชุมชนได้ตระหนักถึงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
๓.วิธีดำเนินการวิจัย
๓.๑ การเลือกพื้นที่ศึกษา
งานวิจัยครั้งนี้มุ่งหวังศึกษาในบริบทพื้นที่ทางวัฒนธรรม
โดยอาจแบ่งเป็น ๒ พื้นที่หลักคือ
๑.พื้นที่ชุมชนโบราณเวียงห้าวหรือชุมชนโบราณบ้านสันป่าหนาด ต.เวียงห้าว อ.พาน
จ.เชียงราย ๒.พื้นที่เมืองพานหรือเขตเทศบาลตำบลพาน เหตุผลหลักที่เลือกพื้นที่ดังกล่าวมีอยู่ ๒ ประการคือ
ประการแรก ชุมชนโบราณเวียงห้าว
หรือชุมชนโบราณบ้านสันป่าหนาดมีความสำคัญในฐานะเป็นพื้นที่ที่มีพัฒนาการตั้งแต่สมัยจารีตต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
ประกอบกับมีหลักฐานมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังไม่ได้รับการศึกษาค้นคว้า
และสันนิษฐานว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการของชุมชนเมืองพานหรือเขตเทศบาลตำบลเมืองพาน
ประการที่สอง ชุมชนเมืองพานหรือเขตเทศบาลตำบลเมืองพาน
เป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการเมืองในปัจจุบัน
ซึ่งยังไม่ได้รับการศึกษาค้นคว้าเช่นกัน
และสันนิษฐานว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการของโบราณเวียงห้าว หรือชุมชนโบราณบ้านสันป่าหนาด
๓.๒ การศึกษาภาคเอกสาร ( Document
Data )
แบ่งข้อมูลออกเป็น ๒ ประเภท คือ ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ได้แก่ ข้อมูลที่ผู้บันทึกเหตุการณ์นั้นบันทึกด้วยตัวเอง หรือเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยตัวเอง ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources) ที่ผู้บันทึกหรือผู้เขียน
ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นแต่ได้ฟังได้ยินหรือได้รับการถ่ายทอดต่อ ๆ
มาอีกทีหนึ่ง
ซึ่งการพินิจเอกสารผลงานวิจัย บทความ ข้อมูล และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักในการศึกษาครั้งนี้
ทำให้ภาพของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมหลากหลายมิติ โดยแบ่งออกเป็นเอกสารเป็นส่วนดังนี้
-
เอกสารทางประวัติศาสตร์
เช่น จารึก, ตำนาน,พงศาวดาร,จดหมายเหตุ,บันทึกความทรงจำ, ฯลฯ
-
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์
เช่น ข่าว,โปสเตอร์ ฯลฯ
-
ภาพถ่ายโบราณและภาพถ่ายเก่าของผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่การศึกษา
-
รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา บทความทางวิชาการ บทสัมภาษณ์
บทความหนังสือพิมพ์
-
สื่ออิเล็กโทรนิกส์
/ Online
๓.๓ การศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี ( Archeology
Data )
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ดำเนินงานควบคู่ไปกับโครงการขุดค้นสำรวจทางโบราณคดี
โดยเบื้องต้นจะใช้ข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่วัดโบราณสันป่าหนาด
ต.เวียงห้าว อ.พาน หลังจากนั้นจะดำเนินการขุดค้นพื้นที่ของชุมชนโบราณต่อไป
กระบวนการทางโบราณคดีนี้ ดำเนินการโดยนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อให้ข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมครบถ้วนและสอดคล้องกับแนวทางการวิเคราะห์ทางการวิเคราะห์ที่หลากหลายมิติ
๓.๔ การสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์
มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาแนวความคิดหรือความทรงจำจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมต่าง
ๆ ทั้งในและนอกพื้นที่การศึกษา โดยคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลในแต่ละระดับช่วงชั้นอายุ
การศึกษา อาชีพฯลฯ เพื่อเป็นตัวแทน Key Man หรือ Key Culture
๓.๕ ฐานข้อมูลและประเด็นหลักในกระบวนการการวิจัย
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรม (Cultural Historical research) เป็นการวิจัยประวัติศาสตร์กรณีที่เน้นถึงการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลหรือปรากฏการณ์
( Phenomena ) หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต (What
was? What why?) ในมิติทางวัฒนธรรม
ผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
ซึ่งเป็นแนวทางการวิเคราะห์จากข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ในปัจจุบันหรือสามารถนำมาใช้ประกอบการกระบวนการเรียนรู้รากเหง้าของท้องถิ่น
ตลอดจนนำข้อมูลไปใช้ในสังคมปัจจุบันได้ด้วย
๓.๖
การวิเคราะห์ตรวจสอบข้อมูลเนื้อหา
ประการแรก ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ข้อมูลทางโบราณคดี
ข้อมูลทางวัฒนธรรม ตลอดจนข้อมูลความทรงจำร่วมของชุมชนท้องถิ่น
จำเป็นต้องนำมาทำฐานข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูลก่อนเป็นอันดับแรก ในการวิจัยครั้งนี้มีการตรวจสอบ ๒ วิธี
กล่าวคือคือ วิธีแรกคือการตรวจสอบฐานข้อมูลว่าถูกต้องหรือไม่ ส่วนวิธีที่สองตรวจสอบว่าเนื้อหาของข้อมูลเชื่อถือได้เพียงไร
หลังจากตรวจสอบข้อมูลแล้วจะต้องพิจารณาต่อว่า
ข้อมูลที่ได้มานั้นเหมาะสมสอดคล้องกับเรื่องที่กำลังศึกษาหรือไม่ เพียงใด เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ สัมพันธ์สอดคล้องกันตลอดทั้งเรื่องแค่ไหน เกี่ยวข้องกับเงื่อนไข ปัจจัย
และปรากฏการณ์ของบริบทเศรษฐกิจ การเมือง
สังคม และวัฒนธรรมเพียงใด
การสังเคราะห์ข้อมูลและตรวจสอบข้อมูล
เรียบเรียงเป็นประเด็นหลักประเด็นรอง และประเด็นย่อย
นำผลการวิเคราะห์มาทำการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ผ่านมุมมองและข้อวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการ ที่ปรึกษาทางวิชาการ ประชาคมวิจัย
ชุมชนท้องถิ่น สถานศึกษา เพื่อให้เกิดความชัดเจนของผลการวิจัยมากขึ้น
ผู้วิจัยมุ่งหวังให้มีการตรวจสอบข้อมูลแบบสหวิทยาการ
ด้วยการศึกษาข้อมูลจากแหล่งอื่นและนำมาเปรียบเทียบความแตกต่างหรือเหมือนกัน
เพื่อให้เกิดความแน่ชัดและมีความน่าเชื่อถือ จากนั้นทำการแก้ไขเรียบเรียงโดยวิธีการพรรณนา
(Description) และการพรรณนาวิเคราะห์
(Analytical Description)
๔. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๔.๑
ชุมชนท้องถิ่นได้ตระหนักรู้ถึงข้อมูล
ประวัติความเป็นมาของโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ปรากฏอยู่ในเขตชุมชนโบราณเวียงห้าว
อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย และทำให้เห็นพัฒนาการของชุมชนโบราณเวียงห้าวที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเวียงโบราณแห่งนี้ได้
๔.๒
ประชาคมวิจัยและนักวิชาการท้องถิ่นได้ข้อมูลและวิธีการวิเคราะห์ระบบความสัมพันธระหว่างเมืองโบราณแห่งนี้กับแหล่งโบราณคดีใกล้เคียง
๔.๓ ประชาคมท้องถิ่นได้ข้อมูลการสำรวจแหล่งโบราณสถานและโบราณวัตถุเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนโบราณอื่นๆในเขตวัฒนธรรมเชียงรายและล้านนาต่อไป
๔.๔
สร้างชุดความรู้และแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมให้ชุมชนได้ตระหนักถึงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
เพื่อพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษาของท้องถิ่นต่อไป
[๑]
ดินแดนล้านนาแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
ล้านนาตะวันตกและล้านนาตะวันออก ล้านนาตะวันตกได้แก่เมืองเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
พะเยา ลำปางซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบ ๓ แห่ง ตามลำดับคือ แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน
แอ่งเชียงราย และแอ่งลำปาง ส่วนล้านนาตะวันออกมีแอ่ง ๒ แห่งคือน่านและแพร่
ดูรายละเอียดใน สรัสวัดี อ๋องสกุล,ประวัติศาสตร์ล้านนา ,พิมพ์ครั้งที่ ๗,หน้า
๓๓”
[๓] สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี.
คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี,เมืองและแหล่งชุมชนโบราณในล้านนา
(กรุงเทพฯ : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี, ๒๕๓๙
),หน้า ๗๐ -๗๑.
[๔] กรมศิลปากร, “ฐานข้อมูลระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม”
[cited 2010 May 23].
available from : http://www.gis.finearts.go.th/gisweb/viewer.asp
[๕] ดอยด้วน เรียกอีกอย่างว่า ดอยชมพู หรือ ภูยาว อันเป็นที่มาของภูมินามอาณาจักรภูกามยาว
ซึ่งต่อมากลายเป็น พยาว และกร่อนเสียงเป็น
พะเยา ในที่สุด
[๖] อินทร์ สุใจ ,ประวัติอำเภอพาน, มปท.มปพ., กล่าวว่า เมืองแช่พราน
(อ่านว่า แจ้พาน ) เป็นต้นกำเนิดของภูมินาม เมืองพาน
ภายหลังมีการอพยพย้ายถิ่นฐานไปสร้างชุมชนใหม่ทางทิศตะวันตก ใกล้กับน้ำแม่ส้าน
อันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองพานในปัจจุบัน ,และดูรายละเอียดใน สารานุกรมไทยภาคเหนือเล่มที่
๙ , หน้า
[๗] กรมศิลปากร,ประชุมพงศาวดาร ฉบับ หอสมุดแห่งชาติ เล่มที่ ๑๔ ภาคที่ ๖๑
พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ,พิมพ์ครั้งที่ ๔,(กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ก้าวหน้า,๒๕๑๗),หน้า ๒๐.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น