“ล้อ”
: อุตสาหกรรมยานยนต์ ในเมืองพาน
:โดยประพันธ์ มอนแก้ว
:โดยประพันธ์ มอนแก้ว
สล่า ไม้ แป๋งสร้าง งานศิลป์
ล้อ เฮือน แล่น เตียวดิน หนไท้
ป่า พะญ๋าแห่งฮ่อม วิญญาณ
กว๋าว เก๊างาม หยั่งราก อยู่ยั้ง เมืองพาน.
ล้อ เฮือน แล่น เตียวดิน หนไท้
ป่า พะญ๋าแห่งฮ่อม วิญญาณ
กว๋าว เก๊างาม หยั่งราก อยู่ยั้ง เมืองพาน.
เกวียน
ภาษาเรียกทางภาคเหนือเรียกว่า ล้อ เป็นพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยวงล้อหมุน
เป็นพาหนะควบคู่วิถีชีวิตชาวบ้านกับงานเกษตกรรมในชนบทในแต่ละท้องถิ่น ประโยชน์ใช้สอย
ในด้านบรรทุกสิ่งของ สินค้า บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ ต่างๆนาๆ ใช้ในการเดินทางหรือลำเรียงขนส่งสินค้า
เพื่อขนย้ายหรือนำสินค้าไปค้าขายในด้านการพาณิชย์ ส่วนในภาคเหนือนั้นจะเรียก พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ขนส่งสินค้า
หรือนำสินค้าไปขายในสถานที่ต่างๆ ว่า พ่อค้าวัวต่าง นั้นก็คือใช้เป็นยานพาหนะสำหรับ บรรทุกสิ่งของ
เพื่อการคมนาคมขนส่งทางบก การนำสินค้าไปขาย ยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงนำไปใช้ในพิธีกรรมเช่น ล้อลากแห่พระเจ้า
ล้อลากศพ ล้อลากกลองหลวง ล้อลากกลองตึ่งโน่ง ในล้านนา
ล้อนั้น สามารถบรรทุกข้าวของต่างๆได้ในจำนวนมากที่สุดในการเดินทางหรือขนย้ายทางบก
ซึ่งมีแรงขับเคลื่อน ซึ่งเป็นแรงงาน สัตว์
นั้นก็คือ วัว หรือ ควาย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ และ 2 ขนาด คือ ล้อเทียบวัว และล้อเทียมควาย
ส่วนขนาด ก็คือมีขนาด ใหญ่เป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้ทั่วไป และ ขนาดเล็ก
ที่ใช้สำหรับ ลากจุง โดยใช้แรงงานมนุษย์นิยมนำไปใช้ในการขนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักไม่มากนัก
หรือใช้ลากน้ำ จากบ่อ ซึ่งมีระยะไม่ไกลและบรรทุกสิ่งของไม่มากนัก บางแห่งใช้บรรทุกกลองตึงโน่ง
ของวัดวาอารามต่างๆในภาคเหนือ และส่วนมากล้อเกวียนขนาดใหญ่
จะเป็นล้อเทียบวัวเป็นหลัก ส่วนตัวล้อ เรียกว่า เฮือนล้อมีลักษณะ
เป็นโครงและด้านข้าง เป็นซี่ไม้ เปรียบเหมือน ตัวถังรถ ส่วน
ตัวเฮือนก็เสมือนที่พักอาศัยชั่วคราวขนาดย่อมที่เคลื่อนที่ได้
ดั่งมีคำบะเก่าที่เรียกเกวียนว่า ล้อเฮือน โดยเมื่อปลด วัวออกจากตัวล้อ
และใช้ไม้ค้ำหัวล้อเกวียน ล้อก็จะกลายเป็นที่อาศัยหลับนอนชั่วคราว
ทั้งด้านบนและด้านล่าง ส่วนล้อก็มี ปทุนเพื่อป้องการ
แสงแดด น้ำค้าง ในยามกลางวันและกลางคืน
ในยุคนั้น ล้อเกวียน จะเปรียบเสมือนรถบรรทุกหรือรถกระบะ
ในยุคปัจจุบัน ในแต่ละบ้านจะเลี้ยง วัวเลี้ยง ควาย ไว้
ทำไร่ไถ่นา ซึ่งเป็นอาชีพเกษตรกรรมตั้งแต่อดีตของคนชนบท โดยเฉพาะในเขตอำเภอพาน
จะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบล้อมด้วยภูเขาสูงด้านตะวันตกเป็นภูเขาผีปันน้า
ด้านตะวันออก เป็นดอยหัวง้ม หรือดอยด้วน สภาพท้องถิ่นเหมาะกับการทำไร่นา
ลักษณะ
ล้อเกวียน 1 คัน โดยส่วนใหญ่ในเมืองพานจะใช้วัว
เป็นสัตว์ที่ใช้ลากจูงให้ล้อหมุนเคลื่อนที่ ทั้งหมดจำนวน 2 ตัว
โดยมีเจ้าของเป็นคนบังคับ เดินหน้า หรือหยุดอยู่กับที่ เพื่อใช้เป็นยานพาหนะในสมัยๆนั้น ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ รถบรรทุก รถมอเตอร์ไซต์
รถพ่วงชาเล้ง รถโดยสาร รถอี่แตน ซึ่งมีความรวดเร็ว สะดวก และบรรทุกได้เป็นจำนวนมาก ในยุคนั้นที่ยังไม่มีเครื่องยนต์
และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ในยุคต่อมาเมื่อเทคนโนโลยีพัฒนาขึ้น ท้องถิ่นเริ่มมีถนนที่ทำด้วยยางมะตอย เครื่องจักร์กลเริ่มมีบทบาทขึ้น ผู้คนเริ่มสนใจนำเครื่องยนต์มาใช้งานมากขึ้น เทคโนโลยีเริ่มพัฒนาขึ้น และมีคนนำรถเข้ามาใช้ แทน ล้อมากขึ้น ดังนั้นทำให้กลายเป็นสาเหตุทำให้ ล้อเกวี่ยน เริ่มลดความสำคัญมีผู้คนใช้น้อยลง และทำให้การผลิตลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องและค่อยๆเลือนรางหายไปจากท้องถิ่นเมืองพาน ตั้งแต่เครื่องยนต์เริ่มมีบทบาท ในยุคนั้น
ในยุคต่อมาเมื่อเทคนโนโลยีพัฒนาขึ้น ท้องถิ่นเริ่มมีถนนที่ทำด้วยยางมะตอย เครื่องจักร์กลเริ่มมีบทบาทขึ้น ผู้คนเริ่มสนใจนำเครื่องยนต์มาใช้งานมากขึ้น เทคโนโลยีเริ่มพัฒนาขึ้น และมีคนนำรถเข้ามาใช้ แทน ล้อมากขึ้น ดังนั้นทำให้กลายเป็นสาเหตุทำให้ ล้อเกวี่ยน เริ่มลดความสำคัญมีผู้คนใช้น้อยลง และทำให้การผลิตลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องและค่อยๆเลือนรางหายไปจากท้องถิ่นเมืองพาน ตั้งแต่เครื่องยนต์เริ่มมีบทบาท ในยุคนั้น
สำหรับเขตพื้นที่เมืองพาน
มีหมู่บ้านที่ แป๋งสร้างผลิต ล้อเกวียนอยู่หมู่บ้านเดียว ก็คือหมู่บ้านป่ากว๋าว อยู่ในเขต
ตำบลเมืองพาน อ.พาน จังหวัดเชียงราย ณ ปัจจุบัน ผู้เขียนได้สอบถามหาข้อมูลซึ่งพบว่า
ในอดีต หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ทั้งสร้าง และ ซ่อม ล้อเกวียน ส่วนใหญ่
คนในท้องถิ่นจะมาหาซึ้อเพื่อนำไปใช้งาน และนำมาซ่อมแซม ที่ชำรุดเสียหาย จากการสอบถามชาวบ้านส่วนใหญ่ ในหมู่บ้านอพยพยมาจาก
จังหวัดลำปางเพื่อมาตั้งรถรากถิ่นฐานใหม่ การอพยบย้ายถิ่นฐานครั้งนั้น จากกำเล่าของป้ออุ้ยแม่อุ้ยคนเก่าแก่ในหมู่บ้านได้เล่าว่า
พ่ออุ้ย กับพ่อ แม่ ได้ย้าย ถิ่นฐานจากเมืองลำปาง ซึ่งเดินทางมากกันหลายครอบครัว
โดยมีพหนะในการเดินทางคือนั่งล้อเกวียนจากเมืองลำปาง ค่ำที่ไหนก็นอนพักที่นั้นเพื่อจะหาแหล่งที่อยู่ทำกินใหม่
หรือ แหล่งทำเกษตรกรรมประกอบชีพ ซึ่งป้ออุ้ยเดิมเป็นสล่าไม้อยู่ก่อนแล้ว ได้อพยบถิ่นฐาน
เดินทางรอนแรมมาไกลจากเมืองลำปางรอนแรม มาหลายวันหลายคืน จนมาพบบริเวณเขตเมืองพาน
ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำ ทัพยากร ธรรมชาติต่างๆ ที่เหมาะกับการทำเกษตรกรรม ดังนั้นแต่ละครอบครัวได้แพ้วถ่างจับจองพื้นที่ เพื่อทำเกษตรกรรมไร่นาต่างๆตามความสามารถและความขยันของตน
เมื่อท้องที่แห่งนี้ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งน้ำ ก็มีครอบครัวอื่นๆที่เดินทางมาจาก ลำปางและบางส่วนเดินทางย้ายมาจากเชียงใหม่เพื่อมาตั้งรกรากถิ่นฐานจับจองพื้นที่ ทำให้เกิดเป็นแหล่งชุมชน และต่อมาจิงได้ ตั้งเป็นหมู่บ้าน ตามลักษณะทางท้องถิ่นก็คือ บริเวณแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะมีต้น กว๋าว หรือต้นทองกวาว มาก และส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบกว้างและมีวิวทัศน์ที่ดีต่อการทำเกษตรกรรมและมีต้นกว๋าว หรือต้นทองกว๋าวเต็มไปทั่วจริงกลายเป็นหมู่บ้านป่ากว๋าวสืบมา
จากเรื่องเล่า เรื่องราว ล้อนั้น แม่อุ้ย ได้เล่าว่า เปิ้นแป๋งสร้างกัน หลักจากปู่เข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อทำนาและระหว่างการทำนำ คนในหมู่บ้านก็ตั้งผาบสร้างล้อขสึ้น โดยมีหัวหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน เรียกว่า สล่าเก๊า ก็คือเป็นหัวหน้าสล่าหรือหัวหน้าช่าง ซึ่งก็คือมีศักดิ์เป็น ป้ออุ้ย หรือ ปู่ ของผู้เขียน ซึ่งจากการสอบถาม ญาติพี่น้องคนเฒ่าคนแก่ ในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้รับคำยืนยันว่าเป็นหมู่บ้านเดียวในเขตเมืองพานที่ได้มีการสร้าง ล้อ ส่งขายในท้องถิ่น และยังส่งขายไปยังที่ต่างๆเช่น แม่อ้อ, อ.เทิง ,เชียงของ,พะเยา ซึ่งมีผู้คนต่างท้องถิ่นเข้ามาแวะซื้อ ตลอดทั้งปีและรวมทั้งการซ่อม (อุ้ยงา มอญแก้ว,สัมภาษณ์ 2555)
เมื่อท้องที่แห่งนี้ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งน้ำ ก็มีครอบครัวอื่นๆที่เดินทางมาจาก ลำปางและบางส่วนเดินทางย้ายมาจากเชียงใหม่เพื่อมาตั้งรกรากถิ่นฐานจับจองพื้นที่ ทำให้เกิดเป็นแหล่งชุมชน และต่อมาจิงได้ ตั้งเป็นหมู่บ้าน ตามลักษณะทางท้องถิ่นก็คือ บริเวณแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะมีต้น กว๋าว หรือต้นทองกวาว มาก และส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบกว้างและมีวิวทัศน์ที่ดีต่อการทำเกษตรกรรมและมีต้นกว๋าว หรือต้นทองกว๋าวเต็มไปทั่วจริงกลายเป็นหมู่บ้านป่ากว๋าวสืบมา
จากเรื่องเล่า เรื่องราว ล้อนั้น แม่อุ้ย ได้เล่าว่า เปิ้นแป๋งสร้างกัน หลักจากปู่เข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อทำนาและระหว่างการทำนำ คนในหมู่บ้านก็ตั้งผาบสร้างล้อขสึ้น โดยมีหัวหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน เรียกว่า สล่าเก๊า ก็คือเป็นหัวหน้าสล่าหรือหัวหน้าช่าง ซึ่งก็คือมีศักดิ์เป็น ป้ออุ้ย หรือ ปู่ ของผู้เขียน ซึ่งจากการสอบถาม ญาติพี่น้องคนเฒ่าคนแก่ ในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้รับคำยืนยันว่าเป็นหมู่บ้านเดียวในเขตเมืองพานที่ได้มีการสร้าง ล้อ ส่งขายในท้องถิ่น และยังส่งขายไปยังที่ต่างๆเช่น แม่อ้อ, อ.เทิง ,เชียงของ,พะเยา ซึ่งมีผู้คนต่างท้องถิ่นเข้ามาแวะซื้อ ตลอดทั้งปีและรวมทั้งการซ่อม (อุ้ยงา มอญแก้ว,สัมภาษณ์ 2555)
ความทรงจำ
ล้อ เมื่อวัยเยาว์ของผู้เขียน สิ่งที่ยังจำในวัยเด็กความทรงจำที่ไม่เคยลืมก็คือช่วยอุ้ยสูบเส้า
หรือเรียกกันว่า “เตาเส่า “ หรือผาบเส่า
เป็นภาษาเรียกทางภาคเหนือ มีลักษณะ เป็นโรงเรือน มุงด้วยหญ้าคา หรือ โครงสร้างทำด้วยโครงไม้เก่าๆ
เป็นโรงเรือน โปร่งโลง อากาศถ่ายเทด้วยดี
ใช้เป็นสถานที่ ตีเหล็กทำขอบ วงล้อ หรือตีเหล็กตีมีดต่างๆเพื่อใช้ในครัวเรือน
ซึ่งจะมีองค์ประกอบคือ ส่วนของ แท่น
|
รูปภาพประกอบ
ภาพสะเก็ด เต้าเส้า
มี
ลักษณะ ก่อด้วยก้อนอิฐที่แบบหยาบๆสูงประมาณสัก 30 เซนติเมตร ตรงกลางมีรู มี
ท่อเส้าไว้เป่าลม เพื่อให้ก้อนถ่านมีความร้อน ลักษณะของตัวสูบลม
ทำด้วยโลหะม้วนเป็นขดกลมๆมีก้านมีหน้าที่ดึงเข้าดึงออกเพื่อสูบลม
ลมก็จะเป่าไปตรงกลางของแท่นถ่าน ด้านข้างๆของแท่นถ่านก็จะมี รางไม้
ที่ขุดมาจากไม้ทั้งท่อนแล้วใส่น้ำให้เต็ม ตรงกลางผามเต้าเส่า ก็จะมี ทั่ง
เหล็กที่ว่างบนท่อนไม้สูงประมาณ 40-45 เซนติเมตร เพื่อเตรียมตีหรือทุบเหล็ก
ให้ได้ตามขนาด ซึงจะมีสล่าช่วยกัน 3-4 คนขึ้นไปโดยทุบเข้าจังหวะกัน ข้างๆก็มีคีมด้านยาวๆ
ปากมีลักษณะแปลกๆ เกือบสิบอัน ตรงข้างๆทั่ง มีค้อนทุบขนาดต่างๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่
หลากหลายขนาด อยู่เรียงราย
พื้นเต้าเส้าเป็นพื้นดิน ที่อัดแน่นด้วยการเยียบย้ำที่ผ่านกาลเวลาอันหลายปี
เรียบและซื้น ขณะนั้น ข้าพเจ้าอายุได้ประมาณ5-6ขวบ
ยังพอจำความได้ ยังคงได้เคยช่วยอุ้ยสูบเต้าเส่าเป่าลมเพื่อให้ถ่านมีความร้อนจัด
แล้วอุ้ยก็นำเหล็กมาเผาที่ถ่านเพื่อให้เหล็กเกิดความร้อนจนมีสีแดงแข็ม
และกลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งกระจายไปถั่ว จากนั้นก็นำเหล็กกล้าที่เผาไหม้แดงได้ที่มาทุบขึ้นรูป
ให้มีขนาด พอดี เท่ากับวงล้อ เพื่อที่จะนำมาทำเหล็กขอบล้อเพื่อให้ล้อ มีความคงทน เส่าของอุ้ย จะมีลักษณะเป็นท่อสังกะสีขนาดใหญ่
ประมาณ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 2 เมตรกว่าๆ
หลักการทำงานคล้ายๆ สูบรถ ตรงกลางจะมี แกนไม้
ใช้สำหรับดึงเข้าดึงออกเพื่อให้เกิดลมอัด ไปก้อนถ่าน เพื่อให้เกิดลม จะทำให้กองก้อนถ่านมีความร้อนเร็วขึ้นและร้อนมากขึ้น
ซึ่งตอนนั้นถือว่าอุ้ยเป็นสล่าล้อ คนสุดท้ายของ เมืองพานก็ว่าได้เพราะนอกจากอุ้ยและคณะของอุ้ยแล้วก็ไม่มีใครทำอีก
เส้นทางการส่งจำหน่ายล้อ
1. ในหมู่บ้าน
ท้องถิ่นเมืองพาน และเขตพื้นที่ใกล้เคียง เวียงห้าว แม่อ้อ
ม่วงคำ แม่เย็น เจริญเมือง
2. เขต
อำเภอเทิง
3. บ้านด้ายท่าล้อ
อ.เวียงชัย ในอดีตเป็นหมู่บ้านที่
พ่อค้า-แม่ค้า นำล้อเกวียนที่ขนส่งสินค้า มาหยุดพักเพื่อนำสินค้าไปขาย ซึ่งลักษณะภูมิศาสตร์ของสถานที่
หมูบ้านนี้จะติดลำน้ำกก ดังนั้นจึงเหมาะแก่การหยุดพักผ่อนกลางทางเพื่อให้วัวได้กินน้ำ
ซึ่งพ่อค้านั้นได้เดินทางมาจาก จังหวัดพะเยา-และลำปาง
และบางส่วนเป็นล้อที่ซื้อมาจากเมืองพาน
(ป้ออุ้ยจันทร์คำ
วงค์คำลือ, สัมภาษณ์ 2555)
ล้อหายจากสังคมเมืองพาน
ในยุคพัฒนาประเทศ ตั้งแต่
หลัง พ.ศ. 2500 เป็นยุคจุดสลายตัวของพาหนะคู่ชีวิตของสังคมชาวนาล้อ เพราะเริ่มมีถนนหนทางที่ลาดยางมะตอย
และมีเทคโนโลยีเครื่องยนต์เข้ามามีบทบาททางสังคม
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างของวัฒนธรรม และสังคม ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคม
ในอดีตและมีความสลับซับซ้อนมากว่าในอดีต ทำให้มีผล ต่อผู้บริโภค และ ผู้สร้าง
แต่เนื่องด้วยปัจจุบัน
เทคโนโลยีได้พัฒนา ได้มีนวัตกรรมที่มีบทบาทเป็นอย่างยิ่งเข้ามาแทน สิ่งนั้นก็คือ ตั้งแต่
ถนนพลโยธินสร้างเสร็จ ทำให้วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างของสังคม
ส่งผลรสนิยมการบริโภค ของผู้เสพเปลี่ยนไป
เพิ่งมาเจอ บทความดีๆ อย่างนี้
ตอบลบผมเป็นคนหนึ่ง ที่ชอบศึกษาด้านวัฒนธรรม
และ ภาพของอดีต ที่ล่วงมา ก็ติดตาอยู่
พอได้อ่านแล้ว รู้สึก สุขใจ อิ่มใจ ครับ
ขอบคุณ ที่นำเรื่องดีๆ มาให้ได้อ่าน
น่าสนใจครับท่าน ตอนผมเด็กๆ มาดูเข้าเข้าวงล้อเป็นประจำที่หน้า รร.พานพิท นานมาแล้ว
ตอบลบ